วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การประชุม ฺBRICS

          
ขอขอบคุณข้อมูลจาก ดร.สมชาย  ภคภาสน์วิวัฒน์

ผ่านไปแล้ว สำหรับการประชุมสุดยอดของผู้นำกลุ่ม BRICS ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ผลการประชุมของกลุ่มประเทศ BRICS ในครั้งนี้ ได้มีการประสานนโยบายโดยกำหนดท่าทีร่วมกันในเรื่องของการปฎิรูปธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อให้สิทธิและเสียงแก่ประเทศเกิดใหม่ ลดการครอบงำของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป 


กลุ่มประเทศ BRICS ได้เน้นท่าทีต่อประเด็นปัญหาซีเรียและอิหร่านนั้นต้องคลี่คลายด้วยการเจรจาไม่ใช่การใช้กำลัง นอกจากนั้นกลุ่มประเทศ BRICS ยัง มีความเห็นร่วมกันในอันที่จะปฏิรูปคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อ เปิดโอกาสให้ประเทศเกิดใหม่มีที่นั่งเพิ่มขึ้น (ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงบราซิลและอินเดียนั่นเอง) กลุ่มประเทศ BRICS ยังได้มีความเห็นร่วมกันในการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาของกลุ่มขึ้น และจะ ประสานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างตลาดหุ้นในประเทศสมาชิก

กลุ่มประเทศ BRICS นั้น กำเนิดขึ้นมาในโลกยุคหลังสงครามเย็น ซึ่งเป็นยุคที่โลกกำลังอยู่ในภาวะของการผลัดเปลี่ยนเพื่อหาดุลยภาพใหม่ เป็นโลกของการแข่งขันในทางเศรษฐกิจในขณะที่ความมั่นคงได้เปลี่ยนรูปแบบจาก การเผชิญหน้าระหว่างค่ายที่มีอุดมการณ์ต่างกันในยุคสงครามเย็นมาเป็นภัยคุก คามที่มีรูปแบบหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการก่อการร้าย ความขัดแย้งในด้านศาสนาและดินแดน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นยุคข้อมูลข่าวสารซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จุดใดจุดหนึ่งสามารถที่จะกระทบไป ยังจุดอื่น ๆ ของโลกอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนดังกล่าวนี้เองทำให้สถานภาพของความเป็นรัฐชาติไม่สามารถที่จะมี สมรรภาพหรือพลังเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามคามดังกล่าวได้โดยลำพัง 
 ยิ่งกว่านั้น ในยุคหลังสงครามเย็นซึ่งมีสหรัฐอเมริกาที่ดูมีพลังที่โดดเด่นและไม่มีพลังใดที่จะถ่วงดุลสหรัฐอเมริกาดังในยุคสงครามเย็น ประเทศต่าง ๆ จึงต้องพยายามหาแนวทางเพื่อป้องปรามการถูกครอบงำจากอภิมหาอำนาจแนวทางหนึ่ง ก็คือการรวมตัวในทางเศรษฐกิจ การเมือง ดังเห็นได้จากการขยายตัวของการรวมกลุ่มเขตการค้าเสรีหรือประชาคมเศรษฐกิจที่ ขยายไปยังทุกภูมิภาคของโลก ในบริบทดังกล่าวเป็นต้นกำเนิดของการรวมตัวของกลุ่มประเทศ BRICS


ความจริงกลุ่มประเทศ  BRICS นั้นมีสิ่งที่เหมือนกันและแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย สิ่งที่เหมือนกันก็คือทั้ง 5 ประเทศเหล่านี้ เป็นประเทศเกิดใหม่ มีจำนวนประชากรที่สูง และมีพลวัตรในการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูง รวมถึงทั้ง 5 ประเทศเหล่านี้ ได้มีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในลักษณะเปิดเสรี ขณะที่บทบาททางการเมืองในเวทีโลกก็มีการขยายเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่แตกต่างกันก็คือในขณะที่ประเทศจีนและรัสเซียยังเป็นประเทศเผด็จการ (แม้รัสเซียจะดูเป็นประชาธิปไตยก็ตาม) ในขณะเดียวกันประเทศอินเดีย บราซิลและแอฟริกาใต้มีระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยเสรีนิยม ประเทศรัสเซียมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาพลังงานจากก๊าซและน้ำมันเป็นสำคัญ


ใน ขณะที่จีน บราซิล มีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่มีการกระจายตัวกันมากกว่า ในทางการเมืองนั้นจีนและอินเดียก็ยังเป็นคู่แข่งที่ต่างคนต่างไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน ทั้งยังมีดินแดนที่ติดกันและเคยมีปัญหากันมาในอดีต จีนและอินเดียมีสิ่งที่เหมือนกันคือมีความต้องการที่จะรักษาสถานภาพของความ เป็นมหาอำนาจการถ่วงดุลสหรัฐอเมริกาในขณะที่แอฟริกาใต้นั้นไม่มีภาพที่เด่นชัดในส่วนนี้
การรวมตัวกันของ 5 ประเทศในกลุ่ม BRICS ที่ มีความแน่นแฟ้นและกำลังพัฒนาไปสู่การจัดโครงสร้างที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นนั้น เกิดจากแรงผลักดันของบริบทการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของโลก กลุ่มประเทศเหล่านี้แม้จะมีความแตกต่างกันในทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมแต่ก็สามารถหาจุดร่วมในอันที่จะประสานท่าทีและนโยบายในส่วน ที่จะเป็นลักษณะเกมบวก (positive sum game) ได้ กล่าวคือเป็นการรวมตัวในประเด็นที่เป็นประโยชน์ร่วมกันโดยในส่วนประเด็นที่แตกต่างนั้นไม่ต้องไปกล่าวถึง

กลุ่มประเทศ BRICS นั้นมีประชากรเท่ากับร้อยละ 40 ของประชากรโลกและมีผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) เท่ากับร้อยละ 25 และประเทศต่าง ๆ เหล่านี้กำลังมีบทบาททางการเมืองในเวทีภูมิภาคและโลก การรวมกลุ่มของกลุ่มประเทศ BRICS จึงเป็นการสร้างพลังใหม่ในโลกยุคหลังสงครามเย็น


อย่างไรก็ตามการรวมตัวของกลุ่มประเทศ BRICS นั้น จะไม่มีวันที่จะแน่นแฟ้น เนื่องจากความแตกต่างทางด้านนโยบายทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นนโยบายทางด้าน ต่างประเทศหรือความมั่นคงและนอกจากนั้นในบางกรณีก็มีลักษณะที่เป็นคู่แข่ง หรืออริซึ่งกันและกัน (ระหว่างจีนกับอินเดีย) อย่างไรก็ตามการรวมตัวของกลุ่มประเทศ BRICS นั้น ถือเป็นปรากฎการณ์ที่มีนัยสำคัญต่อโลกที่จะต้องจับตามอง


กลุ่มประเทศ BRICS อาจถือเป็นพลังใหม่และเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของระเบียบโลกใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น


จอมณรงธร ศรีิอริยนันท์ (ตี๋)
30 พฤษภาคม 2012 
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 


 

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

BRICS 2050


ขอขอบคุณข้อมูลจาก Blog Dr.Tham   

นักเศรษฐศาสตร์ที่โด่งดังขึ้นมาได้จากการบัญญัติคำศัพท์ง่ายๆต่มีความหมายขึ้นมา จนชาวโลกสามารถจดจำได้นั้นมีอยู่แนับคนได้ หนึ่งในนั้นที่เกือบทุกคนจะนึกถึงเป็นท่านแรกๆ ได้แก่ ร็อคเกอร์แห่งวงการเศรษฐศาสตร์การเงิน นาม Dr.Jim O'neill อดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ จากธนาคาร Goldman Sachs


ผลงานหนังสือเล่มล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า The Growth Map กล่าวถึงการมองย้อนกลับไปหลังจากที่เขาให้กำเนิดชื่อย่อสุดฮิต BRICs มากว่า 10 ปี หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับการอ่านให้ได้ไอเดียของบทบาทกลุ่มประเทศ BRICs ในทศวรรษนี้ รวมถึงยังจับตาดูม้ามืดกลุ่มประเทศใหม่ที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาตนเองขึ้นมาใล้เคียงกับรุ่นพี่อย่าง BRICs อีกด้วย

 

Jim O'neill เปิดฉากหนังสือเล่มนี้ด้วยการชี้ให้เห็นถึงสองปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการแปลงสภาพ ของประเทศจาก กำลังพัฒนา ไปสู่ ประเทศที่พัฒนาแล้ว อันได้แก่ โครงสร้างของประชากร และ ผลิตภาพหรือประสิทธิภาพในการผลิตของประเทศ โดยเขาแนะนำให้มองข้ามปัญหา ระยะสั้นเช่น การเมือง หรือ การขาดการพัฒนาสาธารณูปโภคไปก่อน เพราะท้ายสุดแล้ว จำนวนประชากรที่มากกว่า จะยังเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุด

เริ่มจากปัจจัยแรก จากการที่จำนวนประชากรของ BRICs ทั้งหมด มี อยู่เกือบครึ่งหนึ่ง ของประชากรโลกนั้น ทำให้นาย O'neill เชื่อว่าสิ่งนี้ ถือเป็นความได้เปรียบหรือแต้มต่อชนิด ที่ประเทศอื่นๆไม่สามารถลอกเลียนได้ โดยชี้ให้เห็นว่าเพียงแค่ประเทศจีนและอินเดีย หากมีประสิทธิภาพในการผลิตเพียงแค่หนึ่งในสี่ของสหรัฐ เศรษฐกิจของทั้งคู่ก็จะโตทันสหรัฐแล้ว นอกจากนี้เขายังมองว่าการที่ ยุโรปต้องเสียแชมป์ทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐในช่วง 50 ปีนี้ ส่วนใหญ่ก็เนื่องจากจำนวนประชากรของยุโรปน้อยกว่าของสหรัฐนั่นเอง ที่เห็นได้ชัดล่าสุด ร้านกาแฟ สตาร์บัคส์ ได้ประกาศว่าจีนจะเป็นประเทศที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทเป็นอันดับสอง รองจากสหรัฐในอีก 2 ปีข้างหน้า ด้วยเหตุผลของการเป็นตลาดที่ใหญ่มาก แม้จำนวนสาขา ของร้านจะยังมิได้ขยายไปทั่วประเทศเลยก็ตาม


ปัจจัยที่สอง ได้แก่ ประสิทธิภาพหรือผลิตภาพในการผลิต ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างสูง กับปัจจัยแรก โดยนาย O'neill ย้ำว่าประสิทธิภาพของประเทศต่างๆทั่วโลก ไม่ได้วัดกันที่สินค้าทุนหรือเทคโนโลยี แต่จะแตกต่างกันด้วยจำนวนประชากรในแง่ที่ว่า ใครจะมีประชากรวัยทำงานมากน้อยกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเวลาที่มี การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยี โดยนาย O'neill ฟันธงว่าในปี 2050 จีนจะแซงหน้าสหรัฐเป็นประเทศ ที่มีขนาดเศรษฐกิจโตเป็นอันดับหนึ่งของโลก พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าอินเดียและบราซิลในช่วงปี 2050 จะมาแรงกว่าประเทศอื่น เนื่องจากมีประชากรวัยทำงานอยู่เยอะที่สุด


หนังสือเล่มนี้ มีจุดเด่นตรงที่ สร้างกลุ่มดัชนีที่เรียกว่า Growth Environment Score (GES) สำหรับใช้ประเมินกลุ่มประเทศที่จะเป็นม้ามืดหลัง BRICs ด้วยการแบ่งดัชนีออกเป็น 2 กลุ่ม คือ หนึ่ง กลุ่มที่ใช้วัดเสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และ สองดัชนีที่เกี่ยวข้องกับ คุณภาพประชากร อันได้แก่ จำนวนการใช้โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ท การศึกษา อายุขัยของประชากร และ กฎหมาย ซึ่งจากผลของการร่อน ตะแกรงดังกล่าว 

ปรากฎว่า มีกลุ่มประเทศคัดสรรจากภูมิภาคต่างๆทั่วโลกซึ่งจะเจริญรอยตาม BRICs ที่เรียกว่า Next Eleven (N-11) ได้แก่ เม็กซิโก จาก ทวีปละตินอเมริกา ตุรกี จาก ชายแดนของเอเชียและยุโรป อียิปต์และอิหร่านจากตะวันออกกลาง ไนจีเรียจากแอฟริกา และ หกประเทศจากเอเชีย ได้แก่ บังคลาเทศ อินโดนีเซีย เกาหลีใต้ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม ซึ่งนาย O'neill คิดว่า อินโดนีเซีย เม็กซิโก ตุรกี และเกาหลีใต้ น่าจะมีโอกาส มากกว่าเพื่อนที่จะสามารถขยับขึ้นมาร่วมแถวเดียวกับ BRICs ได้


สำหรับในมุมของการให้น้ำหนักแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ น่าสังเกตว่า มุมมองของนาย O'neill จะมุ่งไปที่เศรษฐศาสตร์แบบ Supply-side ซึ่งมุ่งเน้นความเพียงพอของปริมาณทรัพยากร เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของโลก รวมถึงเน้นถึงการมองหาความได้เปรียบของปริมาณอุปสงค์ ที่จะมาใช้ในการสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อชิงความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน


ต้องยกเครดิตให้กันาย O'neill ที่สามารถมอง การณ์ไกลกว่า 10 ปี จนมาถึงวันนี้ BRICs ได้มีการประชุมภูมิภาคเป็นของตนเอง จนกระทั่งมีการตั้งธนาคารในกลุ่มของตนเอง ตามคำแนะนำของนาย Robert Zoellick ประธานธนาคารโลกคนปัจจุบันที่กำลังจะครบวาระ

จอมณรงธร ศรีิอริยนันท์ (ตี๋)
                                                 29 พฤษภาคม 2012 
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 



 

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

BRICS กลุ่มมหาอำนาจทางเศรษฐกิจใหม่

     BRICS เป็นอักษรย่อตัวหน้าของกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอันประกอบด้วย Brazil (บราซิล-พูดภาษาโปรตุเกส,สเปน) , Russia (รัสเซีย) , India (อินเดีย) China (จีน) และ South Africa (แอฟริกาใต้)
    

     
     โดยนาย Jim O'neill (จิม โอนีลล์) ได้เป็นผู้บัญญัติคำนี้ขึ้นมา ในบทวิจัยปี 2001 ชื่อ "The World Needs Better Economic BRICs" (โลกนี้จำเป็นต้องมี BRICs กลุ่มเศรษฐกิจที่ดีกว่า) ชื่อ BRICS เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจโลกจากกลุ่มพัฒนาแล้ว (G7 กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ชาติคือสหรัฐอเมริกา อังกฤษ  ฝรั่งเศส  เยอรมนี  อิตาลี แคนาดา และญี่ปุ่น) มาสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา


     และผลงานวิจัยในปี 2005 ยังกล่าวถึงประเทศเม็กซิโกและเกาหลีใต้ว่าเป็นประเทศที่เทียบเท่าได้กับ BRICS แต่ถูกตัดออกจากกลุ่มตั้งแต่ต้น เพราะถือว่าเป็นประเทศมีการพัฒนามากกว่า เนื่องจากเป็นสมาชิกของกลุ่ม OCDC (Organisation for Economic Co-operation and Development - องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา


     Goldman Sachs (โกลด์แมน แซคส์) กล่าวว่า กลุ่ม BRICS พัฒนาอย่างรวดเร็วมาก จนคาดการณ์กันว่า ปี 2050 เศรษฐกิจของกลุ่ม BRICS จะสามารถบดบังกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยในปัจจุบันได้ ซึ่งพื้นที่ของประเทศเหล่านี้มีมากกว่าหนึ่งในสี่ของแผ่นดินโลก และมากกว่าร้อยละ 40 ของประชากรโลก

 

     ประเทศในกลุ่ม BRICS ได้พยายามที่จะสร้าง สมาคมหรือพันธมิตรทางการเมือง และพยายามเปลี่ยน อำนาจทางเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตให้เป็นอำนาจการเมืองทางภูมิภาค ในวันที่ 16 มิถุนายน 2009 ผู้นำกลุ่มประเทศ BRICS เข้าร่วมการประชุมสุดยอดครั้งแรกที่เมือง Екатеринбу́рг (ยีกาตีรินบรูก - รัสเซีย) และเรียกร้องให้โลกมีหลายขั้วอำนาจ ต่อมา เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2011 จึงได้รับประเทศแอฟริกาใต้เข้าร่วมกลุ่มด้วย

 จอมณรงธร ศรีอริยนันท์ (ตี๋)
28 พฤษภาคม 2012 
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 


วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เรียงความภาษาสเปนส่งอาจารย์ขอนแก่น


      พอดี มีโอกาสได้เขียนเรียงความเป็นภาษาสเปนประมาณ 1 หน้า สืบเนื่องมาจากอาจารย์จากมหาวิทยาลัยขอนแก่นสาขาภาษาสเปน ให้การบ้านแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงสาขาภาษาสเปนจำนวนหนึ่งมาทำ เพื่อนำบทความเหล่านี้ไปวิจัยต่อ โดยให้เลือก 2 หัวข้อคือ
     1.วัยรุ่นไทยกับ Facebook 
     2.ในฐานะนักศึกษา จะช่วยทำให้ประเทศไทยดีขึ้นได้อย่างไร?
     หลังจากผมส่งไปแล้ว ก็รู้สึกเสียดายที่ตัวเองเขียนไว้ ปวดหัวตั้งนาน เปิดทั้ง Diccionario (ดิกซิโอนาริโอะ - พจนานุกรม) ทั้งหนังสือเรียน ตาแทบเล็ด เลยขออนุญาตนำมาลงซะเลย (อีกเหตุผลหนึ่ง เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรในบล็อกต่อ กำลังตันพอดี ก็เล่นเขียนทุกวัน มันก็มีตื้อบ้าง)
     ผมไม่ได้เก่งภาษาสเปนหรอกครับ ฉะนั้นถ้าเขียนผิดไวยกรณ์อย่างไร ก็ขอโทษเอาไว้ในที่นี้ด้วย สามารถแนะนำได้นะครับ ว่าผมเขียนผิดตรงไหน ผ่านช่องให้ความเห็นด้านล่างครับ 


Tema : ¿Cómo mejoraré Tanlandia en que soy estudiante? 
หัวข้อ : ในฐานะนักศึกษา จะช่วยทำให้ประเทศไทยดีขึ้นได้อย่างไร?
                En primera cosa que le tengo que decir mi algun detalle a profesor Chadchawan. Lo eso que yo soy un cristiano protestante. La cristiandad me enseñó a creer en la fé. Por eso mi creencia está influyendo de cristianismo bastante.
                อย่างแรกที่ผมต้องบอกข้อมูลบางอย่างของผมให้อาจารย์ชัชวาลย์รู้ นั่นคือผมนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโปรเเตสแตนท์ คริสตจักรสอนผมให้เชื่อในศรัทธา ดังนั้นความเชื่อของผมจึงได้รับอิทธิพลจากศาสนามาพอสมควร
                Me gustaría presentarle mis comentarios de este tema a usted siquiente. Yo tengo que mejorarse antes. Ejemplo de soy buen estudiante , tengo la intención de aprender en la clase , siempre repaso las lecciones et cetera. Para ser un buen modelo y tengo credibilidad. Porque otras personas seguirán haciendo. Yo tendré conocimiento bastante que puedo ayudar sociedad de Tailandia que es más agradable 
                ผมอยากจะนำเสนอความเห็นของผมเกี่ยวกับหัวข้อนี้ดังต่อไปนี้ ผมต้องทำตัวเองให้ดีก่อน เช่น เป็นนักศึกษาที่ดี มีความตั้งใจในการเรียนในห้อง ทบทวนบทเรียนสม่ำเสมอ และอื่น ๆ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี มีความน่าเชื่อถือ เพราะคนอื่นจะได้ทำตาม ผมจะมีความรู้พอที่จะสามารถช่วยสังคมไทยให้น่าอยู่ขึ้น
                Aunque yo todavía no he terminado de estudiar. Pero la puedo dar otra cosa a Tailandia. Pero yo no tengo que perder la fé mía. Si tengo muchas condiciones , yo no hago nada. Voy a respetar la ley de mi país. No seré un criminal. Voy a ahorrar dinero. No compro las cosas que no es necesario. Voy a vivir fielmente cada día con alegría. No les hago las problemas a otras gentes.
                ถึงแม้ว่าผมยังเรียนไม่จบ แต่สามารถให้บางอย่างกับประเทศไทยได้ แต่ผมไม่ต้องเสียศรัทธาของตัวเอง ถ้าผมมีข้อแม้เยอะ ผมก็ไม่ต้องทำอะไรพอดี ผมจะต้องเคารพกฎหมายของประเทศ ไม่เป็นอาชญากร จะต้องประหยัด ไม่ซื้อของที่ไม่จำเป็น จะต้องใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์ด้วยความยินดี ไม่สร้างปัญหาให้คนอื่น
                Para mí , me parece vivir de estas meneras es un ayuda a mi país. Mi religíon me enseñó que “Cuidadles a ortas personas como que nos queremos cuidado”. Yo pienso que esto es importante. Si todos tambeín hacen así , nuestro país estará bién más.
                สำหรับผม เห็นว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ คือการช่วยเหลือประเทศ ศาสนาผมสอนว่า "จงปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่เราอยากได้รับการปฏิบัติ" ผมคิดว่ามันสำคัญนะ ถ้าทุกคนทำได้แบบนี้ ประเทศเราก็จะดีขึ้น
                Y otra título es todos deben consevar y proteger el entorno natural. Porque nosotros tenemos que vivir con el. Yo creo que es necesario mucho para todas las gentes y el entorno natural nos hace más fuertes. Nosotros podemos respirar mejor. Por eso yo cuidaré los árboles y plantas alrededor bién. No voy a tirar y quemar basura en los lugares públicos. Yo deseo que la mayoría de la gente piense mismo conmigo. 
               อีกเรื่องซึ่งทุกคนควรอนุรักษ์และปกป้องสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เพราะพวกเราต้องอยู่ร่วมกับมัน ผมเชื่อว่ามันจำเป็นมากสำหรับทุกคนและธรรมชาิติทำให้เราแข็งแรง เราสามารถสูดอากาศได้ดีขึ้น ดังนั้นผมจะรักษาต้นไม้และพืชพันธุ์รอบตัวให้ดี ผมจะไม่ทิ้งหรือเผาขยะในที่สาธารณะ ผมอยากให้คนส่วนใหญ่คิดแบบเดียวกับผม
                Yo quiero que los deportes en Tailandia es muy popular. Porque jugar al deporte lo ayuda nuestra salud fuerte y sin enfermedad. Además todos los deportes nos cuidan estar en buena forma a nosotros y les hacen a jóvenes tailandeses lejos de las drogas. Mejoran la comunicación e incrementan la armonía en grupo. 
                ผมอยากให้ทุกกีฬาในประเทศไทยเป็นที่นิยม เพราะการเล่นกีฬาช่วยให้สุขภาพดี และปราศจากโรค นอกจากนี้กีฬาทุกประเภทยังช่วยรักษารูปร่างของเรา และทำให้วัยรุ่นไทยห่างไกลจากยาเสพติด และยังทำให้มีการพูดคุยและสร้่างความสามัคคีกันในกลุ่ม
                Para mí , me encanta ver el fútbol. Equipo mío es Manchester United. Me parece muy divertido y relajado. Hasta me olvido el tiempo siempre. Pero no debe apostar es que pierde mucho dinero.
                สำหรับผมแล้ว ชอบดูฟุตบอลมาก ทีมของผมคือแมนยู ผมว่ามันสนุกและผ่อนคลายมาก จนผมลืมเวลาตลอด แต่ไม่ควรเล่นพนัน เพราะมันเสียเงินมาก  
   Sin embargo todo tiene que llevar su tiempo. No puede acabar dentro de un día. Pero lo voy a intentar siguiente. Si todas las gentes pueden hacer así , al final nuestra sociedad está muy feliz. ¿Cómo es futuro de tailandia? No lo sé. Pero yo espero que sea mejor.
   อย่างไรก็ตามทุกอย่างต้องใช้เวลา ไม่สามารถจบในวันเดียว แต่ผมจะพยายามต่อไป ถ้าทุกคนช่วยกันทำดังนี้ ในที่สุด สังคมเราจะมีความสุขมาก อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร? ผมไม่รู้ แต่ผมหวังว่ามันจะดีขึ้น
               Muchas Gracias
               ขอบคุณครับ

 
  
      เป็นอย่างไรบ้างครับ ตอแหลใช้ได้ไหม? เขียนส่งอาจารย์ก็ต้องประมาณนี้แหละครับ เท่าที่ผมได้อ่านรอบสอง รู้ตัวเลยว่า ผิดหลายที่ เลยแก้ไปบ้างแล้ว ถ้าใครอ่านแล้วพบว่าผมควรแก้ตรงไหนเพิ่มอีก ก็ให้ความเห็นมาได้เลยครับ ขอบคุณล่วงหน้า

จอมณรงธร ศรีอริยนันท์ (ตี)
27 พฤษภาคม 2012 
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 


 

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วัฒนธรรมนอนกลางวันของชาวสเปน Siesta

     ชาวสเปนมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าคนไทยส่วนใหญ่ได้รู้ ต้องเห็นดีเห็นงามด้วยแน่ (สังเกตจากบรรยากาศในห้องเรียน เมื่ออาจารย์สอนวิชาภาษาสเปนพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟัง ทุกคนจะชอบใจ และอยากให้ประเทศไทยมีแบบนี้บ้าง) นั่นคือ วัฒนธรรมนอนกลางวัน Siesta (เซียสตะ) 


     ในที่ทำงาน เมื่อถึงเวลาพักทานอาหารกลางวัน ราวบ่าย 2 โมงของที่สเปน บริษัทเขาจะให้เวลา 3 ชั่วโมงแก่พนักงาน เืพื่อไปทำกับข้าวกินเองที่บ้าน (เพราะอาหารตามร้านทั่วไป ราคาแพงมาก) เมื่อเสวยเสร็จแล้ว ก็จะงีบหลับต่ออีกประมาณ 10-20 นาที (สบายจริงนะ) 


     Siesta มาจากคำในภาษาสเปนคือ Hora sexto (โอ้หระ เซสโตะ - ชั่วโมงที่ 6) ซึ่งนับจากตอนพระอาทิตย์ขึ้นจนถึงบ่าย 2 ก็ 6 ชั่วโมง (ของประเทศเขา) ซึ่งความจริงแล้ววัฒนธรรมนี้ไม่ได้มีเฉพาะที่ประเทศสเปนเท่านั้น ยังมีประเทศโปรตุเกส , อิตาลี , ฝรั่งเศส และโรมาเนียอีกด้วย แน่นอนประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของประเทศเหล่านี้มาก่อน ก็มีเหมือนกัน (จะไปเหลือเหรอ) 


     บางคนอาจเห็นว่า การนอนกลางวันเป็นพฤติกรรมของคนขี้เกียจ แต่ความจริงแล้วก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ คือ ช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ไ่ม่เชื่อลองอ่านข้อมูลจาก link ข้างล่างนี้ได้เลยครับ "นอนกลางวันช่วยให้สมองดี" แต่ถ้านอนเกิน 30 นาที ก็หลับลึกเลยนะ ระวังหน่อยก็แล้วกัน

จอมณรงธร ศรีอริยนันท์ (ตี๋)
26 พฤษภาคม 2012
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สินค้าจากประเทศที่พูดสเปน

     Big Cola หรือชื่อทางการค้าคือ Kola Real (โก้หละ เรอัล) คือน้ำอัดลม ที่ผลิตโดยบริษัท AJE Group 1 ใน 20 ของบริษัทชั้นนำในโลกธุรกิจเครื่องดื่ม สัญชาติเปรู (ภาษาราชการคือ ภาษาสเปน) เป็นบริษัทชั้นนำในลาตินอเมริกาที่สามารถครองตลาดน้ำดำในเขตอเมริกากลาง เช่น เปรู เอลซัลกวาดอร์ บราซิล โคลัมเบีย เวเนซุเอลา เม็กซิโก ส่วนกลุ่มประเทศเอเชีย ได้แก่ ไทย เวียดนาม อินเดีย อินโดนีเซีย โดยมี "ไทย" เป็นฐานบัญชาการ นอกจากนี้อาเจ กรุ๊ปยังมีแผนจะเข้าไปลงทุนในจีน และฟิลิปปินส์ สำหรับในประเทศไทยมีวางจำหน่ายตั้งแต่ พ.ศ. 2549 โดยสร้างโรงงานผลิตที่จังหวัดชลบุรี

"บิ๊กโคล่า" แม้จะทำการตลาดในไทยเพียง 6 ปี แต่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิสูงสุด 

     เริ่มจากปีแรกที่ AJE GROUP เจ้าของแบรนด์น้ำดำ บิ๊กโคล่า (Big Cola) เข้ามาเบียดตลาดในไทย ตอนนั้นมีมาร์เก็ตแชร์แค่ 10% เท่านั้น แต่ 6 ปีผ่านมา ด้วยกลยุทธ์การตลาดน้ำอัดลมของ AJE ที่มีมูลค่ากว่า 36,000 ล้านบาท สามารถสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากถึง 20% ตามหลังยักษ์ใหญ่อย่างโค๊กที่มีส่วนแบ่งการตลาด 35% และเป๊ปซี่ที่เป็นผู้น้ำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 40% ขณะที่อัตราเติบโตกำไรสุทธิในไทยยังสูงที่สุดเมื่อเทียบกับ 20 ประเทศทั่วโลกที่บิ๊กโคล่า เข้าไปเปิดตลาด จนกลายเป็นโมเดลที่หลายประเทศนำไปปรับใช้


      Chupa-Chups (ชูปา-ชุปส) อมยิ้มจากสเปนที่เราทั้งหลายคุ้นหน้าคุ้นตาตั้งแต่ตอนเด็ก มาจากคำกิริยาในภาษาสเปน "Chupar" ที่แปลว่า "เลีย" เริ่มผลิตโดยนาย Enric Bernat Fontlladosa (เอ็นริก เบรฺนาต โฟนตฺยาโด๊สะ) ชาวกาตาลัน รุ่นที่ 3 ของครอบครัวทำเบเกอรี่ เขารับช่วงโรงงานผลิตขนม แล้วยกเลิกการผลิตสินค้า กว่า 200 ชนิด เพื่อจะได้ทุ่มเทความสนใจทั้งหมด ไปที่สายการผลิต อมยิ้ม หรือ Lollipop แทน

     เขาแปลกใจมากที่ไม่มีใครผลิตทอฟฟี่ให้เด็ก ทั้งที่เด็ก เป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่สุด ทอฟฟี่ที่มีอยู่มักจะใหญ่คับปากเด็ก ทำให้มือเปื้อนเลอะเทอะ แล้วไปสร้างปัญหาให้ผู้ปกครองอีกต่อหนึ่ง นี่ืเป็นเหตุผลที่เขาทำทอฟฟี่เสียบไม้ เหมือนเอาส้อมจิ้มทอฟฟี่ขึ้นมา 


     บริษัทและสินค้าของเขาต้องมีโลโก้ดึงดูดคน ถึงจะไปได้สวย เขาจึงไปหาเพื่อนศิลปินที่ชื่อ Salvador Dalí (ซัลบาโดร์ ดาลี่) หลังจากนั้น 1 ชั่วโมง กระดาษห่อทอฟฟี่รูปดอกเดซี่ที่โด่งดัง ก็ถือกำเนิดขึ้น เป็นหนึ่งในโลโก้ซึ่งผู้คนจดจำกันได้มากที่สุด จนถึงทุกวันนี้



     เมื่อก่อนขวดโหลใส่อมยิ้ม จะวางอยู่หลังเคาน์เตอร์ิคิดเิงิน ไกลมือเด็ก แต่ทางบริษัทบอกให้คนขายขนม วาง Chupa-Chups ติดเครื่องคิดเงินให้มากที่สุด เราจึงเห็น Chupa Chups วางอยู่ใกล้แคชเชียร์ตั้งแต่นั้นมา


     Borges (โบรฺเฆส) ผลิตภัณฑ์น้ำมันมะกอก ส่งออกอันดับ 1 จากประเทศสเปน เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูง แต่มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้ นอกจากนี้ในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ทำให้น้ำมันมะกอกไม่เหม็นหืน โดยไม่ต้องเติมสารกันหืนเหมือนน้ำมันพืชบางชนิด
ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ มีราคาค่อนข้างสูง ส่วนใหญ่มักจะใช้ในการทำน้ำสลัดหรือใช้ผัดมากกว่าทอดอาหาร 


     นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษายืนยันว่า น้ำมันมะกอกช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิง และล่าสุด พบว่าผู้ที่รับประทานผักรวมทั้งน้ำมันมะกอกเป็นประจำ มีอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ต่ำอย่างชัดเจน 

จอมณรงธร ศรีอริยนันท์ (ตี๋)
22 พฤษภาคม 2012
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 




วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สินค้าแฟชั่นจากสเปน (ต่อ)

      
     Camper (กัมเปรฺ) ภาษากาตาลัน (แคว้นหนึ่งในสเปน มีเมืองหลวงชื่อ Barcelona) หมายถึงเกษตรกร ชนใช้แรงงานและผู้คนในชนบท ซึ่งสะท้อนแกนหลักของสังคมในยุคสมัยอดีตของเมือง Mallorca (มายอรฺกะ) ชื่อนี้ยังสะท้อนความเรียบง่าย ความสบายของชีวิต ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รองเท้าจากประเทศสเปน ก่อตั้งโดยนาย LLorenc Fluxà Rosselló (โยเรนส์ ฟลูซ่า โรสเซโย่) หลังจากสืบทอดกิจการโรงงานผลิตรองเท้าจากบิดา Antoni Fluxà (อันโต๊หนิ ฟลูซ่า) ช่างทำรองเท้าชาว Mallorca ผู้บุกเบิกธุรกิจผลิตรองเท้าในระบบอุตสาหกรรมมากว่า 126 ปี ภายใต้คติพจน์ที่ว่า "เดินอย่างมีจินตนาการ"


      เข้ามาเปิดร้านในเมืองไทยแล้ว ด้วยรองเท้าที่มีเอกลักษณ์ ดูดี มีสไตล์ สวมสบาย และสะท้อนอารมณ์อิสระ มีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วนคือ เทคนิคการตัดเย็บที่สืบสานถ่ายทอดกันมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษ แนวคิดที่ทันสมัย และความสวยงามของรูปแบบที่คำนึงถึงการสนองตอบความต้องการใช้งานและความคิด สร้างสรรค์ รูปแบบรองเท้ายี่ห้อนี้ได้รับแรงบันดาลใจมา จากสังคม วัฒนธรรมและทิวทัศน์ของประเทศสเปน อาทิ สายลม แสงแดด ปัจจุบันมีสาขาจำหน่ายสินค้าราว 3,800 แห่งใน 46 ประเทศทั่วโลก


     
Time Force นาฬิกาแฟยี่ห้อดังเชื้อสายสเปน สร้างกระแสความดังมาแล้วทั่วเอเชีย และในเมืองไทย โดดเด่นไม่ซ้ำใคร กับการออกแบบพิเศษ ในความแตกต่างอย่างลงตัว 
 

     การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือแบรนด์เนมชั้นนำของสเปน จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและประชาสัมพันธ์ประเทศไทย เพื่อเจาะกลุ่มตลาดนักทองเที่ยวชาวสเปน ให้รู้จักแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทยผ่านสื่อทั่วไปในสเปน ซึ่งในตลาดสเปนมีการทำโคแบรนด์ (Co-Brand) ระหว่างร้าน Lodi (แบรนด์รองเท้าและเครื่องหนังชั้นนำ) และ Etxart & Panno (แบรนด์เครื่องประดับและเสื้อผ้า) ทั้ง 1,200 สาขาทั่วสเปน 


     จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและโฆษณาในชื่อ "I Love Thailand" โดยมีการจับสลากร่วมสนุกเพื่อชิงรางวัลแพ็กเกจท่องเที่ยวในประเทศไทย ในหนังสือพิมพ์ El Semanal ของสเปน ซึ่งมีผู้อ่านกว่า 1.4 ล้านคน โดยมูลค่าในการโฆษณาครั้งนี้สูงถึง 5 แสนยูโร ในขณะที่ ททท. ใช้งบประมาณในการดำเนินการครั้งนี้เพียง 12,000 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยเพียง 6 แสนบาทเท่านั้น    


จอมณรงธร ศรีอริยนันท์(ตี๋)
21 พฤษภาคม 2012
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 
         
         

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สินค้าแฟชั่นของสเปนที่มีในไทย

    
 

     สินค้าสเปนที่เราจะพาท่านไปรู้จักกัน อย่างแรกคือ Zara (ซ๊าหระ) ไม่ใช่ Sara (ซาร่า) ยาแก้ปวดของไทยนะฮ้า Zara ในที่นี้คือแบรนด์เสื้อผ้านำเข้าจากประเทศสเปนฮ่ะ เจ้าของคือนาย Amancio Ortega Gaona (อามันซิโอะ โอรฺเต๊กะ กาโอ้หนะ) เขาเกิดที่เมือง Busdongo de Arbás (บุสโด้นโกะ เด อาฺรฺบาส) แคว้น León (เลอ้อน) ทางตอนเหนือของประเทศสเปน แต่สำนักงานใหญ่ของเขาตั้งอยู่ในเมือง Madrid (มาดริด) และ Barcelona (บารฺเซโล้หนะ)


     ในโลกแห่งแฟชั่น เขาเป็นคนที่รวยเป็นอันดับสองรองจาก Bernard Arnault (แบรฺนารฺ อารฺโน - ฝรั่งเศส) เจ้าของ Louis Vuitton (ลุย วิตตง) นั่นแหละ จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes (ฟอร์บส - อเมริกา) ปี 2011 เขาเป็นคนที่รวยที่สุดในสเปน , รวยเป็นอันดับที่ 2 ในยุโรป และรวยเป็นอันดับที่ 5 ของโลก เขาว่ากันว่าเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบถ่ายรูป แต่เราก็หารูปเขามาให้ท่านดูจนได้ (ฮา)


     Zara เป็นแบรนด์ยอดนิยม มีร้านค้าอยู่ทั่วโลก เติบโตอย่างรวดเร็วผ่านปากต่อปาก ความลับแห่งความสำเร็จของ Zara คือ การผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นที่ขายในราคาที่ย่อมเยา ใช้วิธีประยุกต์ดัดแปลงมากกว่าลอกเลียนแบบเสื้อผ้าแบรนด์ดัง และนำออกขายอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้


     ต่อไปคือ MANGO (MNG) อีกหนึ่งแบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องประดับจากประเทศสเปน ซึ่งมีสาวกอยู่ทั่วโลก รวมถึงบรรดาสาวไทยนักช็อปทั้งหลายแหล่ ออกแบบและสร้างสรรค์สินค้าที่เจาะกลุ่มเฉพาะสุภาพสตรี อายุระหว่าง 18 ถึง 40 ปี เป็นบริษัทผู้ส่งออกชั้นนำสองอันดับแรกในตลาดอุตสาหกรรมสิ่งทอของประเทศสเปน เปิดตัวสองสาขาแรก ที่ประเทศโปรตุเกส ปัจจุบันขยายตัวไปมากกว่า 100 ประเทศ จากห้าทวีปทั่วโลก จำนวน 1,500 ร้านค้า 


     ได้ขยายสินค้าเครื่องประดับและเครื่องแต่งตัวรูปแบบใหม่ สำหรับผู้หญิง โดยใช้ชื่อ MANGO TOUCH และขยายตลาดเอาใจผู้ชายเจ้าสำอางค์กับเสื้อผ้าแฟชั่นสุดเท่ห์ โดยใช้ชื่อ H.E. by MANGO ที่เริ่มขยายสาขาและเติบโตตามแบรนด์หลัก โดยเฉพาะในเมืองแฟชั่นและแหล่งช้อปปิ้งทั่วโลก


     เจ้าของ MNG มีนามว่า Isak Andic (อิสอัค อันดิช) ชาวตุรกี เชื้อสายยิว ซึ่งอพยพมาอยู่ประเทศสเปน จนได้รับสัญชาติสเปน เอ้า! เราไปแลมะม่วงผลนี้กันเลย


     ส่วนน้องใหม่ที่บินตรงมาจากประเทศสเปน Adolfo Domínguez (อาโด้ลโฝะ โดมิ้งเกวซ) 1 ใน 10 แบรนด์แฟชั่นที่มีชื่อเสียงในประเทศสเปนมานานกว่า 40 ปี ด้วยฝีมือการออกแบบของนาย Adolfo Domínguez ผู้ปฏิวัติการออกแบบแฟชั่นของสเปน ภายใต้แนวคิด ‘ความสวยงามของรอยยับ’ โดยเน้นความสวยงามจากวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เหมาะมากสำหรับผู้ที่อยากช่วยลดภาวะโลกร้อน


     ดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Adolfo Domínguez จบการศึกษาด้านศิลปะและภาพยนตร์จากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ปฏิวัติการออกแบบแฟชั่นของสเปน เริ่มจากการก่อตั้งบริษัท Textile และเปิดร้าน Adolfo Domínguez ขึ้นเป็นแห่งแรกในสเปน จนเป็นที่รู้จักกันจนถึงวันนี้ รวมถึงยังเป็นผู้ดูแลชุดเสื้อผ้าของนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Miami Vice ของประเทศสหรัฐอเมริกา 

     ปัจจุบันเตรียมมอบกิจการให้ลูกสาว Tiziana Domínquez (ติเซี๊ยหนะ โดมิ้งเกวซ) ดำเนินการต่อ เพราะเธอมีพรสวรรค์ในด้านศิลปะ ทั้งการวาดภาพ การออกแบบเสื้อผ้า และเครื่องประดับ ส่วนข้างล่างนี้เป็นโฆษณาน้ำหอมของเขา

      ความเห็นส่วนตัว : จุดประสงค์ของผมที่นำบทความนี้มาเสนอ เพื่อต้องการให้คนที่เรียนภาษาสเปนสามารถเข้าไปทำงานในบริษัทเหล่านี้ได้ มากกว่าที่จะสนับสนุนให้คนไทยไปนิยมใช้สินค้าของเขาแต่อย่างใด

จอมณรงธร ศรีอริยนันท์ (ตี๋)
20 พฤษภาคม 2012
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 





วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนภาษาสเปน

     มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่เปิดสอนภาษาสเปนเป็นวิชาเอกมี 4 แห่ง ได้แก่ 
     1.คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเปิด นั่นคือไม่ต้องสอบเข้า ไม่จำกัดจำนวน ไม่จำกัดอายุ ไม่บังคับเข้าชั้นเรียน ไม่มีอะไรทั้งนั้น สอบที่ไหนไม่ติด อกหักรักคุด ถูกทิ้ง หรือถ้าเรียนที่อื่นแล้วไม่มีเวลาไปหาเมียน้อย อยากเรียนที่นี่ก็เข้ามา ป๋ารับหมด อยู่ที่ถนนรามคำแหง หัวหมาก กรุงเทพมหานคร

      2.คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น  เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของภาคอีสาน ก่อตั้งสาขาภาษาสเปนโดย มิชชันนารีชาวสเปน นักศึกษาสาขานี้ รักการทำกิจกรรมมากมาย (เพราะมีบังคับหน่วยกิจ การทำกิจกรรมด้วย ไม่ทำก็ไม่จบ อิ อิ) ตั้งอยู่บนถนนมิตรภาพ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น

      3.คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในภาคเหนือและแห่งแรกในส่วนภูมิภาคของไทย ตั้งอยู่ในดินแดนล้านนา ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่
โดยเริ่มแรก สาขาภาษาสเปนในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นแค่วิชาโท ดูรูปสาวเหนือไปก่อนนะ เพราะยังไม่มีการทำคลิบของสาขาภาษาสเปนออกมา


     นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนภาษาสเปนเป็นวิชาโท คือ คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาสเปนและละตินอเมริกันศึกษา ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 


จอมณรงธร ศรีอริยนันท์ (ตี๋)
19 พฤษภาคม 2012
สมัครเข้ากลุ่มเฟสภาษาตะวันตกได้ที่ 
https://www.facebook.com/groups/365756166805480/