วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ภาพวาดของ Adolf Hitler

ข้อมูลโดย wowboom.blogspot.com





adolf hitler


ภาพ สีน้ำรูปนี้เป็นผลงานที่สร้างความฮือฮาให้วงการศิลปะอังกฤษ เพราะนี่คือ หนึ่งในผลงาน Self Portrait ของจอมผู้นำเผด็จการนาซี ที่วาดขึ้นสมัยอายุ 21 ขณะที่เขาตั้งเข็มเป็นศิลปิน มีหลักฐานบนภาพว่า รูปนี้ถูกวาดขึ้นในปี 1910 ซึ่งถ้านำวันเวลาดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับอัตชีวประวัติฮิตเลอร์แล้ว ก็เป็นช่วงที่เขากำลังมุ่งมั่นความสนใจด้านศิลปะ เป็นช่วงที่ฮิตเลอร์ หมกมุ่นกับการสอบเข้าโรงเรียนศิลปะที่มีชื่อในกรุงเวียนนา แต่เหมือนโชคชะตาฟ้าแกล้ง คณะกรรมการที่โรงเรียนศิลปะแห่งนั้น ปฏิเสธตอบรับฮิตเลอร์เป็นนักศึกษา โดยให้เหตุผลว่าเขาขาดเอกสารรับรองว่าจบจากโรงเรียนมัธยม 

เหตุการณ์ ครั้งนี้ได้สร้างความเศร้าสะเทือนใจต่อฮิตเลอร์มากมาย เขาจึงเลิกล้มการเป็นศิลปินแล้วก็หันเหความสนใจไปสมัครเป็นทหารแทน ผู้ที่เคยอ่านเรื่องราวของฮิตเลอร์ ก็คงคิดไม่ได้ว่า ถ้าวันนั้นบุรุษผู้เงียบขรึม ฝีมือดี คนนี้ได้ร่ำเรียนศิลปะอย่างที่เขาตั้งใจไว้ บางทีหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศเยอรมันอาจไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) วาดรูปตัวเองแบบง่าย เพียงแค่เห็นเป็นรูปร่างเท่านั้น ส่วนหน้าตาไม่ปรากฎแม้แต่ จมูก ปาก หรือหนวดที่เป็นสัญญาลักษณ์ของ ฮิตเลอร์ แต่ฮิตเลอร์แสดงให้เห็นว่าบุคคลในรูปคือเขาด้วยการ เซ็นต์ชื่อว่า "AH" ด้านบนหัวของรูปวาดนั้น



ahsnn2616a_main

รูป ที่เขาวาดนั้นเป็นรูปในอดีตของเขาเมื่อตอนอายุ 21 ปี ในปี 1910 กำลังนั่งอยู่บนราวสะพาน มันเป็นเกือบจะ 30 ปีก่อนที่เขาจะก่อสงครามโลกครั้งที่สอง



ahsnn2616c





รูปวาดสีน้ำฝีมือฮิตเลอร์ จะเห็นว่ารูปซ้ายจะมีรายเซ็นต์ที่มุมล่างซ้าย ส่วนรูปขาวจะเซ็นต์ไว้ที่มุมล่างขวา


งาน วิจัยหลายชิ้นที่เกี่ยวกับชีวิตของผู้นำนาซีคนนี้ อธิบายว่า ฮิตเลอร์สนใจศิลปะในช่วงวัยรุ่น เพราะการวาดรูปถือเป็นทางออกให้กับจิตใจ ในสภาวะที่เขาต้องฝ่าฝันปัญหาครอบครัว ฮิตเลอร์มีความไม่ลงรอยกับพ่อ เขามีความอ่อนไหวเหมือนกับแม่ ในช่วงต้นของชีวิตเขาต้องเจอกับมรสุมความยากไร้ของครอบครัว ดังนั้น ภาพวาดสีน้ำสำหรับเขาจึงเป็นเหมือนที่หลบภัย ได้ปลดปล่อยจินตนาการ ส่วนใหญ่ภาพวาดของชายหนุ่มที่เติบใหญ่เป็นจอมทัพที่อำมหิตคนนี้จะมีเรื่อง ราวเกี่ยวกับท้องทุ่งที่สงบ ภาพมีบรรยากาศที่เยือกเย็น คนในภาพมีความรู้สึกที่ระคนความทุกข์ ความเหงา และหลังจาก แม่ของเขาตาย คลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler) ฮิตเลอร์ก็หนีออกจากบ้านและเป็นหน้าประวัติศาสตร์ ผู้นำที่อำมหิตที่สุดในโลก.....



ภาพ วาดชุดนี้ถูกนำออกประมูลเมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา นอกจากภาพเด็กบนสะพานที่เป็นพระเอกของงานแล้ว ก็ยังมีงานสีน้ำจำนวน 12 ชิ้น ที่ส่วนใหญ่เป็นภาพวิวทิวทัศน์ชนบท ในกรุงเวียนนา (ภาพบ้านเรือน ภาพทุ่งดอกไม้ ภาพฟาร์ม) รวมแล้ว ผู้จัดงานได้เงินประมูลผลงานของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ครั้งนี้ไปทั้งสิ้น 97,672 ปอนด์ (หรือประมาณ 4.9 ล้านบาท) การจัดประมูลครั้งนี้ เกิดขึ้นในหมู่เศรษฐี ผู้รักศิลปะ ในเมืองลัดโลว์ (Ludlow) ทางตะวันตกของประเทศอังกฤษ

ผู้จัดงานให้รายละเอียดว่า ภาพวาดชุดนี้เป็นผลงานของฮิตเลอร์ที่วาดขึ้นจริง พิสูจน์ได้จากลายเซ็นบนภาพที่ตรงกับลายเซ็นของฮิตเลอร์ที่ปรากฏอยู่บนเอกสาร ทางสงครามหลายชิ้น ตลอดจนลายเส้น น้ำหนักการลงสี ก็เป็นผลงานนที่มีลักษณะเดียวกันกับภาพของฮิตเลอร์ที่ถูกประมูลไปก่อนหน้า นี้เมื่อหลายปีก่อน 

arthitler2

รูปวาดเหล่า นี้ถูกค้นพบในเมือง Essen ประเทศเยอรมันนี ( Germany ) เมื่อปี 1945 โดยบริษัท Sergeant Major Willie J McKenna และได้ขายต่อให้กับบุคคลปริศนาไป และรูปเหล่านี้ก็ไม่ปรากฎออกมาอีก


จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
31 ตุลาคม 2012 

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Матрёшка ตุ๊กตาแม่ลูกดก

ข้อมูลโดย gconnex.com

Matrioshka dolls หรือ ที่คนไทยมักเรียกกันว่า ตุ๊กตาแม่ลูกดก เพราะตุ๊กตา 1 ชุด ประกอบไปด้วยตุ๊กตาไม้หลายๆตัวเรียงซ้อนกันอยู่ข้างใน
สามารถเปิดตรงกลางจากตัวใหญ่สุด ไปจนถึงตัวเล็กสุด จะวางซ้อนเก็บเหลือเป็นตัวเดียว หรือจะวางแยกออกมาโชว์เรียงกันก็ได้








ตุ๊กตาแม่ลูกดก เป็นตุ๊กตาของรัสเซีย มีชื่อในภาษารัสเซียว่า มาตรีโยชคา (อักษรซีริลลิก: матрёшка หรือ матрешка)
ชื่อนี้แผลงมาจากชื่อสตรีภาษารัสเซีย ว่า "มาตรีโยนา"




หน้า ตาของตุ๊กตาแม่ลูกดกนั้น เดิมนั้นทำเป็นหญิงชาวนา แต่กายแบบดั้งเดิม มีผ้าคลุมศีรษะ แต่ในภายหลังมีการวาดตุ๊กตาเป็นรูปเทพธิดา นางฟ้า และบุคคลที่มีชื่อเสียงต่างๆ มากมาย ซึ่งที่เป็นผู้ชายก็มี









กำเนิดของตุ๊กตาที่น่ารักตัวนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเป็นสองทาง




ทางหนึ่งว่าพระ ชาวรัสเซียเป็นบุคคลแรกที่นำวิชาทำตุ๊กตาไม้ไปจากเกาะฮอนชูของญี่ปุ่น  เมื่อมาถึงรัสเซียแล้ว ก็ผสมผสานรูปแบบกับศิลปะท้องถิ่น เช่น แนวคิดในการซ้อนตุ๊กตาที่คุ้นเคยกันดีในรัสเซีย และประยุกต์เข้ากับงานประดิษฐ์แอปเปิ้ลไม้ และไข่อีสเตอร์ แล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ว่า มาตรีโยชคา

อีกทางหนึ่งว่า มา ตรีโอสคากำเนิดหรือได้รับแรงบันดาลใจจากตุ๊กตาที่ระลึกจากเกาะฮอนชูใน ญี่ปุ่น และเมื่อเทียบกับตุ๊กตาไม้ของญี่ปุ่นแล้ว ก็จะเห็นว่าตุ๊กตาญี่ปุ่นเหล่านั้นมีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกับมาตรีโอสคา ด้วยเป็นตุ๊กตาเด็กผู้หญิงแกะด้วยไม้ เชื่อกันว่าในภายหลังมีการนำตุ๊กตาจากญี่ปุ่นไปยังแผ่นดินรัสเซีย เมื่อราว พ.ศ. 2430













ปัจจุบัน มีการนำมาดัดแปลงจนไม่เหลือเค้าดั้งเดิม

แบบ paint เล่นลวดลาย pattern ต่างๆ






แบบประยุกต์ modern
















ส่วน Matrioshka Russian dolls เซตนี้เป็นผลงานการออกแบบโดยเหล่าดีไซเนอร์ชื่อดัง
เนื่องในโอกาส Vogue Russia ฉลองครบรอบ 10 ปี

Burberry




Yves Saint Laurent




Giorgio Armani




Dolce & Gabbana




Versace




Marc Jacobs




Paul Smith




Ralph Lauren




Prada




Moschino




Gucci


จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
30 ตุลาคม 2012

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Monet โรงเรียนเป็นเสมือนคุก

ข้อมูลโดย อัศวิน

โคลด โมเน่ต์ (Claude Monet) เป็นศิลปินชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1840 ที่ปารีส เมื่อเขาอายุได้ 5 ขวบ บิดาของเขาซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายส่งของชำได้ย้ายมาอยู่ที่เลออาฟร์ (เมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส) ซึ่งในวัยเด็กนั้น โมเนต์ไม่ใคร่ที่จะสนใจในการเรียนหนังสือเท่าใดนัก ตรงกันข้าม เขากลับจดจ่อและหลงใหลอยู่กับความงามของทะเลและแสงแดดของเมืองท่าแห่งนี้ เท่านั้น

             Cliffs at Etretat (Claude Monet)

สำหรับโมเน่ต์แล้ว "โรงเรียนเป็นเสมือนคุก” ดังนั้น ในห้องเรียน เขามักจะชอบเขียนภาพล้อครูของตนลงในสมุดมากกว่า และเมื่อเขาเอาภาพที่เขียนขึ้นให้เพื่อน ๆ ดู เด็กเหล่านั้นต่างก็หัวเราะชอบใจไปตาม ๆ กัน จนเมื่อเขามีอายุได้ 16 ปี ภาพล้อที่เขาเขียนขึ้นก็สามารถรวมได้เป็นจำนวนมากเลยทีเดียว  และเวลานั้นเอง เขาก็ได้เป็นนักเขียนการ์ตูนภาพล้อบุคคลที่มีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักทั่ว เลออาฟร์

และในร้านทำกรอบรูปที่แสดงการ์ตูนภาพล้อของโมเน่ต์อยู่นั้นเอง ก็มีการแสดงภาพทิวทัศน์ของบูแดง (Boudin) แขวน อยู่ด้วย ซึ่งในที่สุด ทั้งสองก็ได้รู้จักกันจากการแนะนำของเจ้าของร้าน บูแดงได้กล่าวชมความสามารถของโมเนต์และชักชวนให้เขาเริ่มทำงานศิลปะอย่าง จริงจัง มิใช่พอใจกับการเป็นเพียงนักเขียนการ์ตูนภาพล้อเท่านั้น โดยบูแดงคนนี้นี่ล่ะครับ ที่เป็นผู้สอนโมเน่ต์เองว่า งานจิตรกรรมควรจะเป็นอย่างไร

             Rock Arch West of Etretat (The Manneport)
ค.ศ. 1859 โมเน่ต์เดินทางมาเรียนศิลปะในปารีส โดยเข้าเรียนในอะคาเดมีสวิสส์ และได้รู้จักกับคามิลล์ ปิซาร์โร (อีก หนึ่งศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์) หนึ่งปีต่อมา โมเน่ต์ถูกเกณฑ์ทหารและเข้าประจำการที่อัลจีเรียเป็นเวลา 2 ปี แต่เมื่อเขาล้มป่วยอย่างหนัก เขาจึงได้ลา 6 เดือน ซึ่งบิดาของเขาก็ต้องยอมเสียเงินจ้างให้ผู้อื่นมาเป็นทหารแทน และเมื่โมเน่ต์กลับมาอยู่เลออาฟร์ เขาก็เริ่มลงมือเขียนภาพต่อไปกับบูแดง และ ยองคินด์ (Jongkind) จิตรกรชาวดัชต์ที่เขาเพิ่งได้มีโอกาสรู้จักในนอร์มังดี แต่ก็มีความสนิทสนมมาก

เมื่อโมเน่ต์เดินทางมาปารีสใน ค.ศ.1862 เขาก็ได้ศึกษาศิลปะในสตูดิโอของกาเบรียล แกลร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาได้รู้จักกับบาซีย์ (Jean Frédéric Bazille) ซิสลีย์ (Alfred Sisley) และเรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir) โดยทั้งหมดมักจะชักชวนกันออกไปเขียนภาพกลางแจ้งในป่าฟองแตนโบล

              The Luncheon

ปี 1865-66 เขาได้พบกับ คามีย์ ดองซิเยอซ์ นางแบบผู้ที่โมเน่ต์รู้สึกต้องชะตาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งในที่สุดแล้ว ทั้งสองคนก็ตกลงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน โดยในปีต่อมา คามีย์ก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนแรกชื่อ ฌอง (Jean) ซึ่งภาพเขียนจำนวนมากของโมเน่ต์ในระยะนี้ มักจะเป็นภาพทิวทัศน์ในชนบทหรือแหล่งพักผ่อนชานเมืองปารีสและมักจะมีคามี ย์เป็นแบบ หรือบางครั้งก็เป็นคามีย์กับบุตรชาย

อย่าง ไรก็ตาม เมื่อบิดาของโมเน่ต์รู้ว่าเขามีภรรยาและออกจากสถาบันศิลปะที่เรียนอยู่แล้ว จึงได้ตัดค่าใช้จ่ายที่เคยส่งมาให้โมเน่ต์ ทำให้เขาเริ่มมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ดังนั้น โมเน่ต์และคามีย์จึงต้องแยกกันอยู่ชั่วคราว โดยโมเน่ต์ย้ายไปอาศัยอยู่กับป้าที่แซงต์ตาแดรส์ แต่เขาก็ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความคิดถึงภรรยาและลูกชาย จนท้ายที่สุดแล้ว ป้าของเขาก็รู้สึกสงสารจึงช่วยออกค่าเดินทางให้โมเน่ต์ได้กลับมาพบกับคามีย์ และลูกอีกครั้ง

             La Grenouillere

แม้ จะได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง แต่โมเน่ต์ก็มักจะประสบปัญหาการขาดแคลนเงินอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีคามีย์และบุตรเล็กๆ มาร่วมชะตากรรมด้วย บางครั้งโมเน่ต์ยังไม่มีแม้แต่สีที่จะใช้เขียนภาพ ไม่มีแม้อาหารที่จะกิน จนเรอนัวร์ที่แม้จะยากจนเช่นกันต้องนำอาหารมาแบ่งให้ ในช่วงนี้เองจะพบจดหมายของโมเน่ต์ที่สะท้อนชีวิตที่ลำเค็ญแสนสาหัสของเขา ซึ่งช่วงชีวิตที่ลำบากเช่นนี้ทำให้เขาเคยพยายามฆ่าตัวตายด้วยแต่ก็ไม่สำเร็จ


ปี 1874 โมเน่ต์ร่วมแสดงงานในการแสดงภาพครั้งแรกของกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ซึ่งผลปรากฏว่า การแสดงภาพถูกวิจารณ์อย่างย่อยยับ และเขาก็ขายภาพไม่ได้เลย เพราะในตอนนั้นผู้คนยังคงยึดติดอยู่กับแบบแผนงานศิลปะคลาสสิคที่เน้นความสวย งาม สมบูรณ์แบบ

             Impression Sunrise (Monet) - www.walkwaywhy.com

หลัง จากนั้นในการแสดงงานครั้งที่ 2 ในปี 1876 และครั้งที่ 3 ในปี 1877 ศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ ก็ยังคงประสบความล้มเหลวเช่นเคย ถึงตอนนี้โมเน่ต์กับครอบครัวก็พบกับความยากแค้นมากยิ่งขึ้นจนแทบไม่มีจะกิน


ทว่า ในปี 1879 ก็ยังมีความพยายามจัดงานแสดงภาพครั้งที่สี่ของกลุ่ม Impressionism ขึ้นอีก คราวนี้ โมเน่ต์ส่งภาพไปร่วมอย่างไม่ได้ใส่ใจ แต่ผลกลับออกมาตรงกันข้ามกับการแสดงภาพ 3 ครั้งที่ผ่านมา เพราะการแสดงภาพครั้งนี้พวกเขาสามารถขายภาพไปได้เป็นเงินถึง 15,400 ฟรองค์ ทำให้จิตรกรกลุ่ม Impressionism เริ่มมีความหวัง แต่ในปีนี้เอง คามีย์ ภรรยาของเขาก็ต้องสิ้นชีวิตลง เพราะร่างกายและจิตใจที่บอบช้ำหดหู่กับชีวิตอันยากจนข้นแค้นที่ผ่านมา

             Water Lillies (Monet) - www.walkwaywhy.com

หลังจากนั้น โมเน่ต์ก็สามารถขายภาพให้แก่ดือรองค์-รืล (นักธุรกิจที่ชื่นชอบผลงานของศิลปินกลุ่มอิมเพรชชั่นนิสม์) ได้เป็นจำนวนมาก ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยากที่เคยประสบอยู่ตลอดมาเป็นเวลากว่า 20 ปี และชื่อเสียงของโมเน่ต์ก็เริ่มโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ

ปี 1883 โมเน่ต์ย้ายไปอยู่ที่ชิแวร์นีย์ แล้วแต่งงานกับอาลิซ ออสเชเด้ ผู้ ซึ่งอพยพลูก ๆ มาอยู่กับเขาหลังจากสามีของเธอล้มละลาย ในช่วงบั้นปลายชีวิตเขามีปัญหาเกี่ยวกับต้อในดวงตาจนต้องผ่าตัด ส่วนงานของเขาในระยะสุดท้ายของชีวิตก็มีลักษณะใกล้เคียงกับการเขียนภาพแบบ Abstrack มากขึ้นไปทุกที และแม้ว่าโมเน่ต์จะเริ่มมีความมั่งคั่งแล้วก็ตาม แต่เขากลับมีบั้นปลายชีวิตที่ค่อนข้างอ้างว้าง เพราะอาลิซ ภรรยาคนใหม่ของเขาเสียใจอย่างมากที่ลูกสาวคนหนึ่งตายจากไป เธอจึงล้มป่วยและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ส่วนเพื่อนฝูงของเขาก็มิได้เหลืออยู่เช่นกัน จนกระทั่งวันที่ 5 ธันวาคม 1926 โคลด โมเน่ต์ในวัย 86 ปีก็สิ้นชีวิตลงอย่างสงบที่ชิแวร์นีย์ครับ

              Coquelicots (Monet) - www.walkwaywhy.com

โมเน่ต์ เป็นศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์ เขามักจะเขียนภาพจากสิ่งที่เห็นด้วยตา เช่น ภาพทิวทัศน์ทั่วไป และอาจมีบุคคลประกอบอยู่ในฉากนั้นๆ ส่วนการใช้สีของโมเน่ต์ เขาจะเน้นสีที่มีความสว่างซึ่งจะทำให้ภาพดูสว่างไสว มีสีสันสดใส ดูแล้วทำให้รู้สึกได้ถึงบรรยากาศของช่วงเวลากลางวันที่มีแดดจัด ทั้งนี้เพราะเขาได้วาดภาพจากการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศนั่นเอง ครับ

การ ใช้แสงในงานเขียนของโมเน่ต์จะมีมากถึง 70 – 80% ของภาพ เพื่อเน้นความสว่าง ส่วนเงานั้นก็เป็นเงาที่เกิดจากแสง ส่วนเส้นในงานเขียนก็จะเกิดจากฝีแปรงที่ทิ้งทีแปรงโดยไม่มีการเกลี่ยสี แต่จะใช้สีที่เป็นสีแสง เงา และสีตรงข้ามสลับกัน เพื่อให้สายตาของผู้ดูเกิดการผสมสีเอง

            Houses of Parliament (Monet) - www.walkwaywhy.com

ฟังดูเป็นเรื่องยากใช่ไหมครับ แต่ผมขออธิบายง่ายๆ ในเชิงปฏิบัติอย่างนี้ คือ เวลามองภาพเขียนของโมเน่ต์นั้น หากมองใกล้ๆ อาจจะดูไม่ออกว่าภาพนี้คืออะไร เพราะภาพเต็มไปด้วยฝีแปรงหนักหน่วงเต็มไปหมด แต่เมื่อถอยออกมาจนได้ระยะที่เหมาะสม สายตาของเราก็จะผสมสีจากฝีแปรงในภาพจนสามารถมองเห็นบรรยากาศของภาพนั้นอย่าง ได้อารมณ์ ดูมีชีวิตชีวามากทีเดียว
จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
29 ตุลาคม 2012