วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มอนเตบีเดโอ สวิสแห่งอเมริกาใต้

เอกนคร : มอนเตบีเดโอ 
(Montevideo)
ข้อมูล wikipedia และ tripadvisor.com
 
 
เป็นเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุด และเป็นเมืองท่าหลักของประเทศอุรุกวัย เนื่องจากมีขนาดใหญ่มากกว่าเมืองอื่นในประเทศถึงสองเท่า เมืองมอนเตบิเดโอมีประชากร ประมาณ 2 ล้านคน จากประชากรทั้งประเทศอุรุกวัยมีประมาณ 3.5 ล้าน มอนเตบิเดโอจึงถูกจัดเป็นเอกนคร

คำว่า Montevideo มาจาก
-Monte แปลว่า ภูเขา
-vi ก็คือ VI เลข 6 ของชาวโรมัน
และที่เหลือมาจากภาษาสเปน
-d ก็คือ de แปลว่า จาก
-e ก็คือ Este แปลว่า ทิศตะวันออก
-o ก็คือ Oeste แปลว่า ทิศตะวันตก


นั่นก็คือ เมืองหลวงของประเทศอุรุกวัยนี้ ตั้งอยู่บนเทือกเขาลูกที่ 6 นับจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกนั่นเอง

เป็นเมืองหลวงที่อยู่ใต้สุดของทวีปอเมริกาและเป็นเมืองที่อยู่ใต้สุดเป็น นอันดับ 3 ของโลก ตั้งอยู่บนชายฝั่งปากแม่น้ำ Río de la plata เหมือนเมืองหลวง Buenos Aires ของประเทศอาร์เจนติน่า แต่อยู่คนละฝั่งกัน


Montevideo เป็นเมืองท่าและเมืองหลวงของประเทศอุรุกวัย และยังเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินเล่น เที่ยมชมอาคารสมัยโคโลเนียลเก่าแก่และบนชายหาดที่สวยงาม The Ciudadela Gateway เป็นส่วนเดียวของกำแพงเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่ ปัจจุบันกลายเป็นประตูทางเข้า Ciudad Vieja ซึ่งเป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดของ Montevideo เมืองที่เต็มไปด้วยโบสถ์ พิพิธภัณฑ์ และโรงละครแห่งนี้จุดไฟแสงสียามค่ำคืนด้วยไนต์คลับพร้อมเสียงเพลงแทงโก้และ คานดอมเบสำหรับนักเต้นที่คึกคัก 

 

และยังเป็นที่ลงนามของอนุสัญญามอนเตวิเดโอ ในปี ค.ศ. 1933 ที่มีประเทศในทวีปอเมริกา 19 ประเทศ เข้าร่วมและเป็นเมืองเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1930



จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
28 กุมภาพันธ์ 2013

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ซาน เตี้ยโกะ เมืองหลวงของชิลี

Santiago de Chile 
เมืองนักบุญเตียโก้ แห่งประเทศชิลี (San ภาษาสเปน แปลว่า "นักบุญ")
ข้อมูลโดย wikipedia และ thaiembassychile.org

ซาน เตี้ยโกะ เด ชิเล เป็นเมืองหลวงของประเทศชีิลี ซึ่งเกือบสามศตวรรษแล้ว ที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องได้เปลี่ยนให้ซาน เตี้ยโกะ เป็นเขตนครหลวงที่สมัยใหม่ที่สุดแห่งหนึ่งในลาตินอเมริกา
 

พร้อม ๆ กับการพัฒนาเขตชานเมืองอย่างกว้างขวาง ศูนย์การค้าหลายสิบแห่ง และสถาปัตยกรรมที่น่าประทับใจ รวมทั้งมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของลาตินอเมริกาเป็นที่ เชิดหน้าชูตา เช่น ซาน เตี้ยโกะ เมโทร (Santiago Metro) และระบบใหม่ "โกสตาเนรา นอร์เต (Costanera Norte - ชายฝั่งทางตอนเหนือ)" เป็นระบบขนส่งของย่านกลางกรุง เชื่อมระหว่างด้านตะวันออกสุดไปด้านตะวันตกสุดของเขตเมืองภายในเวลา 15 นาที

ประวัติความเป็นมา



กรุงซาน เตี้โกะ  เป็นเมืองหลวงของประเทศชิเล และ เป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศ มีพลเมืองอาศัยอยู่มากกว่า 6 ล้านคน าน เตี้ยโกะ ตั้งอยู่บนความสูง 543 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล  อยู่ในเขตภาคกลางของประเทศที่เป็นที่ราบในหุบเขาของเทือกเขอันเดส ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 40 กิโลเมตร และอย่างจากชสยฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกเพียง100 กิโลเมตร
             กรุงซน เตี้ยโกะ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1541 โดยเปโดร เด บัลดิเบีย (Pedro de Valdivia) นายทหารชาวสเปน ซึ่งเป็นชาวยุโรปที่เดินทางมาถึงที่นี่ บัลดิเบียได้ขี่ม้าขึ้นไปบนเนินเขาที่มีชื่อว่าอูเล็น (Huelen) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นซันตาลูเซีย (Santa Lucia) และมองลงมาจะเห็นแม่น้ำมาโปโช (Mapocho) กับทิวทัศน์ของหุบเขาที่งดงาม  จึงตกลงใจสร้างเมืองขึ้น โดยตั้งชื่อว่าน เตี้ยโกะ เดล นวยโบ เอกซ์เตรโม (Santiago del Nuevo Extremo) ตามชื่อนักบุญน เตี้ยโกะ หรือเซนต์เจมส์ ผู้คุ้มครองสเปน ส่วนเอกซ์เตรโม มาจากชื่อเมืองเอกซ์เตรมาดูรา (Extremadura) ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา โดยในครั้งแรกมีบ้านเรือนเพียง 200 หลัง ประชากรชาวสเปน 700 คน และคนรับใช้กับคนงานอีก 1,000 คน นอกจากนี้ผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานยังต้องเผชิญกับการคุกคามของชาวอาราวกาเนียน (Araucanian) ซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นดั้งเดิม

สถาปัตยกรรม


อาคารยุคแรกของกรุงน เตี้ยโกะ ออกแบบโดยเปโดร เด กัมบัว (Pedro de Gamboa) สถาปนิกชาวสเปนที่มีชื่อเสียง โดยมีการวางผังเมืองเป็นอย่างดี สถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ ได้แก่ พลาซา เด  อาร์มัส (Plaza de Armas) หรือจตุรัสกลางเมือง ศาลาว่าการเมือง (Cabildo) ทำเนียบผู้ว่าการเมือง สภาเมือง วิหารใหญ่ (Cathedral) รวมทั้งอาคารที่พัก ร้านค้า และตลาด 

             ในยุคอาณานิคม ระหว่างศตวรรษที่ 16 และ 17 กรุงน เตี้ยโกะ มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และได้มีการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสำคัญได้แก่ ลา โมเนดา (La Moneda) ซึ่งปัจจุบันเป็นทำเนียบประธานาธิบดี  และทำเนียบรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ทำการไปรษณีย์กลาง ในรูปแบบนีโอคลาสสิก
             สิ่งสำคัญซึ่งเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวอาณานิคมได้แก่ศาสนา  กรุงน เตี้ยโกะเองก็มีการสร้างวิหาร โบสถ์ และสำนักคอนแวนต์ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งมหาวิทยาลัยในความดูแลของคณะสงฆ์ ตามแบบสถาปัตยกรรมของสเปน
            กรุงน เตี้ยโกะ เคยเผชิญอุบัติภัยจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ในปี 1647 ซึ่งทำลายอาคารเก่าแก่อันงดงามพังทลายลงเป็นจำนวนมาก และเมื่อเริ่มศตวรรษที่ 19 ซันติอาโกก็กลายเป็นสมรภูมิของสงครามประกาศเอกราช ระหว่างกองทัพประชาชนกับกองทหารอาณานิคมของสเปน ซึ่งยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายกู้เอกราช และตามมาด้วยการสถาปนา ระบบสาธารณรัฐ สถาปัตยกรรมในยุคนี้มีความทันสมัยและเป็นอิสระทางความคิดขึ้น
             ปัจจุบัน กรุงน เตี้ยโกะมีประชากรกว่า 6 ล้านคน และเช่นเดียวกับเมืองใหญ่ทั่วไป ที่เต็มไปด้วยตึกสูง อาคารที่กรุกระจก การจราจรที่คับคั่ง ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ประชากรจำนวนมาก และมลพิษต่าง ๆ แต่กรุงน เตี้ยโกะก็ยังคงมีเสน่ห์ในตัวเอง ทั้งภูมิประเทศ สถาปัตยกรรมเก่า และเรื่องราวในอดีต ให้ค้นหาและชื่นช
 
นอกจากนี้ กรุงซน เตี้ยโกะ ยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทสำคัญหลายแห่งและเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาคอีกด้วย
จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก 
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
27 กุมภาพันธ์ 2013

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อะซุนซิโอน เมืองหลวงประเทศปารากวัย

Asunción (อะซุนซิโอน) 
ข้อมูลจาก wikipedia , hoteltravel.com และ Dek-D.com

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจเข้ามาสำรวจประเทศที่ไม่ค่อยสะดุดตา อย่างปารากวัย อีกทั้งประเทศเล็กๆ ไม่ติดทะเลในอเมริกาใต้แห่งนี้ยังคงอยู่นอกสายตาจากการท่องเที่ยวเนื่องด้วย ปัญหาทางการเมืองและการคอรัปชั่น หากแต่ทุกวันนี้ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขไปในแนวทางที่ดีขึ้นแล้ว ทำให้ปัจจุบันนี้ปารากวัยเป็นหนึ่งในดินแดนที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว ผู้ชื่นชอบการบุกเบิก ซึ่งประเทศแห่งนี้มีความโดดเด่นเป็นอย่างมากในหมู่ประเทศลาตินอเมริกาด้วยกัน

คนส่วนใหญ่เดินทางมายังปารากวัยโดยใช้สนามบินนานาชาติ ซึ่งตั้งอยู่นอกกรุงอะซุนซิออง เมืองหลวงของประเทศ ซึ่งมีประชากร 1,639,000 คน เขตนครหลวงของเมืองนี้มีชื่อว่า Gran Asunción (กรันอะซุนซิโอน) และเนื่องจากปารากวัยมีพรมแดนติดต่อกับอาเจนตินา บราซิลและโบลิเวีย จึงเป็นการง่ายในการเดินทางโดยรถบัสหรือเรือ กระนั้นการเดินทางจากนอกทวีปอเมริการใต้มายังปารากวัยเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง ลำบากสำหรับนักท่องเที่ยวเนื่องจากสายการบินที่ให้บริการเส้นทางบินตรงมายัง ปารากวัยมีค่อนข้างน้อย

ประเทศปารากวัยเป็นประเทศในทวีปอเมริกาใต้ มีการแบ่งโซนประเทศออกเป็น 2 โซน คือโซนที่อยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำปารากวัย (ซีกตะวันตก) เป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนอาศัยอยู่ มีลักษณะเป็นป่า พื้นเป็นดินทราย คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นชนพื้นเมือง และเรียกพื้นที่โซนนั้นว่า กราน ชาโก (Gran Chaco) ส่วนกรุง Asunción อยู่อีกฝั่งหนึ่งทางตะวันออก ซึ่งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก อย่างไรก็ตาม ประเทศนี้ถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีค่าครองชีพต่ำที่สุดในโลก อาหารทั่วไปมื้อละประมาณ 100 บาท น้ำขวดละ 20 บาท แอปเปิ้ล 1 กิโลกรัม 100 บาท กาแฟแก้วละ 40 บาท ไข่โหลละ 50 บาท เป็นต้น
อะซุนซิอองเป็นที่ตั้งรัฐบาล เมืองท่าหลัก เมืองอุตสาหกรรมหลัก และศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของประเทศ สินค้าออกหลักของอุตสาหกรรมผลิตการ ได้แก่ รองเท้า สิ่งทอ และยาสูบ


ปัจจุบัน นี้ปารากวัยยังไม่ค่อยมีการพัฒนาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมากนัก หากแต่รัฐบาลกำลังเร่งสนับสนุนให้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปารากวัยเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศแห่งนี้คือ เทือกเขาและป่าเขตร้อนชื้น โดยทั่วทั้งประเทศมีอุทยานแห่งชาติกว่า 11 แห่ง ซึ่งได้รับการพัฒนาจากรัฐบาลให้เป็นศูนย์การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ นอกจากนี้ยังมีร่องรอยของการพยายามเปลี่ยนแปลงชาวกวารานีของมิชชั่นนารี กลุ่มเยซูอิทในช่วงศตวรรษที่ 18 อีกด้วย

ที่พักในปารากวัยมีให้เลือกอย่างหลากหลาย ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเลือกเข้าพักในห้องพักซึ่งมีความสะดวกสบายและมาตรฐาน โรงแรมที่ค่อนข้างได้ในกรุงอะซุนซีออง สำหรับที่พักในเขตนอกเมืองมีค่อนข้างจำกัดถึงแม้พื้นที่นั้นจะเป็นที่ตั้ง ของสถานที่ท่องเที่ยวก็ตาม อาหารการกินในปารากวัยถือเป็นเรื่องที่สร้างความสุขให้กับนักท่องเที่ยวเป็น อย่างมาก รูปแบบอาหารของปารากวัยมีความคล้ายคลึงกับประเทศในทวีปอเมริกาใต้อื่น ซึ่งถั่วและข้าวถือเป็นหัวใจของอาหารแต่ละมื้อ ร้านอาหารที่จำหน่ายเนื้อย่างได้รับความนิยมในทุกพื้นที่ นอกจากนี้ต้องขอบคุณชาวอาเจนไตน์ที่ทำเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงอย่างชาเย ร์บา มาเตพร้อมถ้วยชาน่ารักเข้ามาเผยแพร่ให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองกันอีกด้วย

 
ชื่ออย่างเป็นทางการ - สาธารณรัฐปารากวัย (ภาษาสเปน : Republica del Paraguay)

เนื้อที่ - 406,750 ตารางกิโลเมตร 

ประเทศเพื่อนบ้าน - ถือเป็นหัวใจของทวีปอเมริกาใต้เพราะตั้งอยู่ใจกลางของทวีป ทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศติดประเทศบราซิล ทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ติดประเทศอาร์เจนตินา และทิศเหนือกับตะวันตกเฉียงเหนือติดประเทศโบลิเบีย

การปกครอง - เป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข

อะซุนซิออน เมืองหลวงของปารากวัย
ภาษา - ใช้ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการ แต่เป็นสเปนแบบ castellano และอีกภาษาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายก็คือภาษากัวรานี เป็นภาษาพื้นเมืองของชนเผ่ากัวรานี คนส่วนใหญ่ใช้ทั้งสองภาษาคู่กันเลยค่ะ
ประชากร - ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายสเปนและอเมริกันอินเดียนที่รวมเรียกว่า เมสติโซ (Mestizo) ส่วนน้อยคือชนเผ่ากัวรานี คือพวกอินเดียนแดง มายา หรืออินกา
ศาสนา - ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก 

อากาศ - ที่นี่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย มี 4 ฤดู คือ ใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง หนาว แต่ที่ไม่ปกติก็คืออุณหภูมิ ในสถานีโทรทัศน์ ตรงมุมจอนอกจากจะบอกเวลาแล้วยังบอกอุณหภูมิด้วย บางทีตอน 20 องศา 9 โมง แดดเริ่มแรงเป็น 22 องศา พอตอนเย็น เหลือแค่ 16 องศา หนาวไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว ที่นี่ถ้าถึงคราวร้อนก็ร้อนมาก ถ้าหนาวก็หนาวสุดขั้ว แต่ไม่มีหิมะ
จุดเด่น - ปารากวัยเป็นประเทศที่มีธงชาติทั้งสองด้านไม่เหมือนกัน!!!
 
ธงชาติทั้ง 2 ด้าน
         
 สถานที่ท่องเที่ยวและอาหารที่น่าสนใจ
Iguaçu Falls (น้ำตกอีกัวซู) ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของโลก โดยเป็นน้ำตกที่มีพื้นที่อยู่ระหว่างพรมแดนของอาร์เจนติน่า บราซิล และปารากวัย ชื่อของน้ำตกมีความหมายว่า “น้ำขนาดใหญ่” ในภาษาพื้นเมือง เป็นน้ำตก 1 ใน 5 น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 
 
จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
26 กุมภาพันธ์ 2013

วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลา ปาซ เมืองแห่งสันติภาพ (ทิเบตแห่งอเมริกาใต้)

Nuestra Señora de La Paz (นวยส์ตรา เซญอรา เด ลา ปาซ) 
 หรือ "La Paz" 
ข้อมูลโดย wikipedia และ hoteltravel.com

ในภาษาไอย์มารา (ภาษาถิ่นของโบลิเบีย) เรียกว่า Chuquiyapu (ชูกียาปู - "ชูกี" แปลว่า 'ทอง' และ "ยาปู" แปลว่า 'ทุ่ง') เป็นเมืองหลวงของประเทศโบลิเบีย และเป็นเมืองหลวงของแคว้น ลาปาซด้วย มีจำนวนประชากรประมาณหนึ่งล้านคน ชื่อเมืองเมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษจะมีความหมายว่า "สันติภาพ (peace)"

ลา ปาซ ตั้งอยุ่ในหุบเขาแม่น้ำชูกียาปู เบื้องล่างของที่ราบสูงที่ระดับความสูง 3,600 เมตร ส่วนบนที่ราบสูงนั้นเป็นเมือง เอลอัลโต ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าอากาศยานนานาชาติ ระบบการขนส่งที่เชื่อมระหว่างสองเมืองได้รับการพัฒนาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ กรุงลา ปาซ มีชื่อเสียงเรื่องตลาดที่ไม่เหมือนใคร สภาพภูมิประเทศที่แปลกมาก รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณี และเป็นเมืองหลวงที่ได้รับการขนานนามอยู่บ่อยครั้งว่าเป็น "ทิเบตแห่งอเมริกาใต้"
 


โบลิเบียเป็น 1 ใน 2 ประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลของทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งอีกประเทศคือปารากวัย ทางตะวันตกของประเทศเป็นพื้นที่ของ แอนเดียน ไฮแลนด์ ในโบลิเบียคุณจะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบติติกากา ร่องรอยของอาณาจักรติวานาคู เมืองหลวงของประเทศอย่างกรุงลา ปาส และวิถีชีวิตในเมืองโอรุโร ที่ราบลุ่มทางตะวันออกของประเทศเป็นผืนป่าแอมะซอนและที่อยู่ของสัตว์ป่าหลายชนิด
 
โบลิเบียเป็นประเทศที่ประกอบด้วยผู้คนจากหลากหลายชนเผ่า ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ประมาณร้อยละ 40 ของประชากรทั้งหมดเป็นชาวเกชัว ซึ่งสืบเชื้อสายโดยตรงจากชนเผ่าอินกา ร้อยละ 25 เป็นชาวไอย์มาร่า ร้อยละ 5 เป็นชาวกัวรานี และร้อยละ 20 เป็นชาวเมสติโซซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างคนในพื้นที่กับชาวยุโรป เพียงร้อยละ 10 ของประชากรเท่านั้นที่เป็นชาวยุโรป

โบลิเบีย แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จากศตวรรษที่ผ่านมา กล่าวได้ว่าโบลิเบียเป็นประเทศที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาสู่ความทันสมัยมากนัก ทำให้ป่าไม้ยังไม่ได้ถูกบุกรุก มีแม่น้ำที่ยังคงใสสะอาดและเขตชนบทที่มีอากาศบริสุทธิ์ ชนเผ่าพื้นเมืองยังคงดำรงชีวิตไปตามวิถีปฎิบัติดั้งเดิม ทั้งวัฒนธรรม ภาษา และความเชื่อ รวมถึงการแต่งการที่ดำรงไว้เช่นเดียวกับหลายร้อยปีที่ผ่านมา
  

เนื่องจากโบลิเบีย ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรทำให้ประชากรของประเทศประสบปัญหา ความยากจน ขณะที่นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสชื่นชมกับความสวยงามของป่างดงามนั้น ชาวโบลิเวียยังคงเป็นประชากรที่ยากจนที่สุดในลาตินอเมริกา แม้พวกเค้าจะมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย และถือเป็นแหล่งทรัพยากรทีสำคัญอีกแห่งหนึ่งของโลก ประเทศแห่งนี้มีอุทยานแห่งชาติกว่า 10 แห่ง เขตปกป้องป่า 8 เขต ซึ่งเต็มไปด้วยทะเลสาบอันสวยงาม เทือกเขาสูงตระหง่านและป่าเขตฝนที่อุดมสมบูรณ์


แม้โบลิเบียเป็นประเทศ ที่ค่อนข้างยากจน หากแต่ประเทศแห่งนี้ก็เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูหลายแห่งด้วยกัน ซึ่งสามารถพบได้ในเมืองใหญ่ อย่างกรุงลา ปาซ รวมถึงที่พักระดับกลางที่มอบสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่ตอบสนองความต้อง การของผู้เข้าพักได้เป็นอย่างดี

จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
25 กุมภาพันธ์ 2013








วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ลิมา เมืองแห่งราชา

Lima : ลิมา (City of Kings)
ข้อมูลโดย thaiza.com

"ประเทศเปรู" (Perú) หรือ สาธารณรัฐเปรู อีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยวและความเก่าแก่ทางประวัติ ศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณ ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของ ทวีปอเมริกาใต้ ในสมัยโบราณนั้นเคยเป็นที่ตั้งของอารยธรรมการัล ซึ่งเป็นอารยธรรมเก่าแก่อันหนึ่งของโลก และอาณาจักรอินคา จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาก่อนยุค โคลัมบัส โดยมี เมืองลิมา (Lima) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ 



     " เมืองลิมา"

     เมืองลิมา
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเปรู และยังเป็นศูนย์กลางการขนส่ง การเงิน อุตสาหกรรม และวัฒนธรรมของประเทศอีกด้วยโดยตัวเมืองนั้นตั้งอยู่บริเวณที่ห้อมล้อมด้วยหุบเขาชียอง แม่น้ำรีมัก และแม่น้ำลูริง ริมชายฝั่งแห้งแล้งซึ่งอยู่ติดกับอ่าวใน มหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งมีท่าเรือที่สร้างขึ้นและตั้งชื่อว่า กายาโอ (Callao)  
 
     เมืองลิมา ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2078 โดย ฟรันซิสโก ปีซาร์โร (Francisco Pizarro) ผู้พิชิตชาวสเปน โดยให้ชื่อว่านครแห่งเหล่ากษัตริย์ (City of Kings) ปัจจุบันเมืองลิมาได้กลายเป็นเมืองและเขตนครหลวงสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งใน ทวีปอเมริกาใต้

     สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองลิมานั้น นักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้สัมผัสถึงความเป็นศูนย์รวมทางประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรม โดยสถานที่ท่องเที่ยวแรกที่อยากแนะนำให้ คุณไปเยือน คือ "บริเวณศูนย์กลางประวัติศาสตร์เมืองลิมา" (Historic Centre of Lima) ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองลิมา ปัจจุบันถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญ ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศเปรู



     " เมืองลิมา"

     ศูนย์กลางประวัติศาสตร์เมืองลิมา ประกอบไปด้วยเหล่าอาคาร รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญๆหลายแห่ง ซึ่งต่อมาได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก ในปี 1988 โดยสถานที่ ท่องเที่ยวแห่งแรกที่อยากแนะนำให้คุณไปเยือน คือ พลาซ่า ซาน มาติน (Plaza San Martín) จัตุรัสเก่าแก่ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1921 




     โดยรอบจัตุรัสนั้นเรียงรายไปด้วยเหล่าอาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ของประเทศมากมาย อาทิเช่น อาร์คบิชอป พาเลซ (Archbishop Palace) ถูกก่อสร้างขึ้นในช่วงปี 1535 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในศูนย์กลางประวัติศาสตร์

     จากนั้นขอแนะนำให้คุณไปชม วิหารลิมา ( Lima Cathedral) วิหารนิกายโรมันคาทอลิก ที่ตั้งอยู่ในบริเวณพลาซ่า มายอร์ วิหารถูกก่อสร้างขึ้นในปี 1535 สิ่งที่โดดเด่นของวิหาร ก็คือ ซุ้มด้านหน้าที่มีประตูสามบานที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งถูกใช้เป็นประตูหลักที่ได้รับการขนานนามว่า "ประตูแห่งการอภัย"



     " เมืองลิมา"

     ต่อมาขอแนะนำให้คุณไปชม คอนแวนต์แห่ง ซาน ฟรานซิสโก (Convent of San Francisco) อีกหนึ่งคริสตจักรที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อนในรูปแบบสเปนบาร็อค (spanish baroque) ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17

     ถัดมาขอแนะนำให้คุณไปชม ตอร์เร ตาเกล พาเลซ (Torre Tagle Palace) เป็นหนึ่งในคฤหาสน์ที่มีความสำคัญ ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 18 ตัวอาคารโดดเด่นไปด้วย สถาปัตยกรรมแบบสไตล์บาร็อค สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือ ระเบียงที่ได้รับการตกแต่งอย่างประณีต ซึ่งเกิดจากการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมยุโรปกับเปรูพื้นเมือง



     "อนุสาวรีย์ปาชาคาแมค"

     สุดท้ายขอแนะนำให้คุณไปเยือน อนุสาวรีย์ปาชาคาแมค (Pachacamac) อีกหนึ่งแหล่งโบราณคดีที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลิมาไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ประมาณ 40 กิโลเมตร ภาย ในประกอบไปด้วยเหล่าอาคารที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา ซึ่งได้แก่ วัด และสุสาน และอื่นๆอีกจำนวนมาก


จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
24 กุมภาพันธ์ 2013


วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

กี้โต เมืองหลวงของประเทศ "เส้นศูนย์สูตร"

San Francisco de Quito (ซาน ฟรันซิสโก เด กีโต) 
หรือ Quito เมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์
ข้อมูลโดย wikipedia และ thaiwhic.go.th
ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ ในแอ่งแม่น้ำกวายาบัมบา บนเนินเขาปีชินชา (4,794 เมตร) ทำให้กีโตเป็นเมืองหลวงที่ตั้งอยู่สูงที่สุดเป็นอันดับสองในโลก เมืองนี้มีประชากรประมาณ 1 ล้าน 5 แสนคน และมีพื้นที่ประมาณ 290 ตารางกิโลเมตร กรุงกีโตเป็นเมืองเก่าตั้งอยู่บนภูเขา คนที่นี่เป็นเชื้อสายของชาวสเปนและชาวอินเดียน ใช้เงินสกุล US ดอลล่าห์

เนื่องจากระดับความสูงและที่ตั้งของเมืองนี้ ทำให้ภูมิอากาศของเมืองมีลักษณะเย็น และค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งปี โดยมีอุณหภูมิสูงสุด 20 องศาเซลเซียส และลดต่ำลงที่ 10 องศาเซลเซียส ในเวลากลางคืน เมืองนี้มีเพียงสองฤดูกาลเท่านั้นคือ ฤดูร้อน (ฤดูแห้ง) และฤดูหนาว (ฤดูฝน)


กีโต ก่อตั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 16 (พุทธศตวรรษที่ 21) บนซากปรักหักพังของเมืองอินคา (Inca) ถึงแม้จะเกิดแผ่นดินไหวในปี คริสต์ศักราช 1917 เมืองนี้ก็ยังมีย่านประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดและเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดในลาตินอเมริกา 






ทั้งอารามซาน ฟรานซิสโก (San Francisco) และซานโต โดมิงโก (Santo Domingo) โบสถ์และวิทยาลัยเยซูอิต ลา กอมปานญิอะ (La Compañía) ซึ่งมีการตกแต่งภายในอย่างหรูหรา เป็นตัวอย่างแท้ของ “สกุลช่างบาโรคแห่งกีโต” (Baroque school of Quito) ซึ่งผสมผสานศิลปะสเปน อิตาเลียน มัวร์ (Moorish) เฟลมิช (Flemish) และศิลปะพื้นถิ่น

หมู่เกาะกาลาปาโกส (Islas Galápagos)
ในมหาสมุทรแปซิฟิก ราว 1,000 กิโลเมตรจากทวีปอเมริกาใต้ เกาะ 19 เกาะรวมทั้งเขตอนุรักษ์ทางทะเลโดยรอบได้รับสมญาว่าเป็น “พิพิธภัณฑ์มีชีวิตและห้องแสดงวิวัฒนาการ”  ด้วยที่ตั้งอันเป็นจุดบรรจบของกระแสน้ำในมหาสมุทร ๓ สาย หมู่เกาะกาลาปากอสจึงเป็น “หม้อหลอม” ของสปีชีส์ทะเล กิจกรรมแผ่นดินไหวและภูเขาไฟที่ยังคงดำเนินไปสะท้อนให้เห็นกระบวนการก่อตัว ของเกาะ กระบวนการดังกล่าวผนวกกับความโดดเดี่ยวของหมู่เกาะ ทำให้เกิดพัฒนาการของชีวิตสัตว์ที่แปลกประหลาด เช่น อีกัวนาบก (land iguana) เต่ายักษ์ และนกฟินช์ (finch) หลายชนิดที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) ว่าด้วยวิวัฒนาการโดยการเลือกสรรของธรรมชาติหลังจากที่ดาร์วินมาเยือนเกาะ นี้ในปี คริสต์ศักราช 1835 


 ด้วยความงามตามธรรมชาติที่โดดเด่น และภูเขาไฟมีพลัง ๒ ลูก อุทยานแห่งนี้แสดงระบบนิเวศอย่างครบถ้วนตั้งแต่ป่าฝนเขตร้อนไปจนถึงธารน้ำ แข็ง โดยมีความตัดกันอย่างชัดเจนระหว่างยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมกับป่าในที่ราบ ความโดดเดี่ยวของแหล่งทำให้สปีชีส์ท้องถิ่นสามารถดำรงอยู่ได้เช่นสมเสร็จภูเขา (mountain tapir) และแร้งแอนเดียน (Andean condor)

จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป" 
23 กุมภาพันธ์ 2013

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การากัส เมืองแห่งนางงามจักรวาล


Santiago de León de Caracas (ซันเตียโก เด เลออง เด การากัส) 
หรือเรียกว่า "การากัส" (Caracas)

ข้อมูลโดย manager.co.th

        ประเทศ "เบเนซ้วยหละ" เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในด้านนางงามมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เพียงเวทีเดียว สาวงามจากประเทศนี้เคยครองมงกุฎนางงามจักรวาล 6 คน ยังไม่รวมเวทีอื่นๆ อีก สาเหตุหนึ่งที่เบเนซ้วยหละประสบความสำเร็จด้านสาวงาม เพราะ มีองค์กรสำหรับดูแลนางงามโดยเฉพาะ คือ Miss Venezuela Organization ภายใต้การดูแลของ ออสเมล เซาซา (Osmel Sousa) เจ้าพ่อนางงาม
     
       ตำแหน่งนางงามเบเนซ้วยหละ ถือเป็นตำแหน่งที่หญิงสาวทุกคนใฝ่ฝัน แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำได้เพราะการเป็นนางงามประเทศนี้ ต้องได้รับการอบรมตั้งแต่เด็ก อะไรที่ไม่งามก็ใช้การศัลยกรรมเข้าช่วยจนออกมาพริ้งคว้ารางวัลแทบจะทุกเวที
   
       และในปี 2009 ที่ตอกย้ำสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่วงการนางงาม และประเทศเบเนซ้วยหละ คือ การประกวดนางงามจักรวาลที่บาฮามาส น.ส.สเตฟาเนีย เฟอร์นันเดซ
(Stefanía Fernández) นักศึกษาด้านความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศจากเวเนซุเอลาวัย 18 ปี พิชิตมงกุฎมิสยูนิเวิร์สได้ ถือเป็นการหักปากกาเซียนอย่างยิ่ง เพราะเวทีนี้ไม่เคยให้สาวงามประเทศเดียวกันได้ตำแหน่งสองปีซ้อน
คารากัสเมืองหลวงที่อัดแน่นไปด้วยบ้านเรือน

       สำหรับเบเนซ้วยหละ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐโบลีบาร์แห่งเบเนซ้วยหละ" เป็นประเทศซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 6 ของละตินอเมริกา ตั้งอยู่ ณ บริเวณเหนือสุดของทวีปเลยทีเดียว
     

        เดิมดินแดนแถบนี้ เป็นถิ่นที่อยู่ของชนพื้นเมืองเช่น อะราวัก คาริบ ยาโนส เป็นต้น จนกระทั่งการเดินทางมาถึงของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ.1498 ดินแดนแห่งนี้จึงต้องตกเป็นเมืองขึ้นของสเปน จนกระทั่งได้รับเอกราชจากการต่อสู้โดยมี ซีมอน โบลิวาร์ วีรบุรุษแห่งอเมริกาใต้เป็นแกนนำ      

       ปัจจุบันปกครองโดยผู้นำอย่าง ประธานาธิบดีอู้โกะ ชาเบซ (Hugo Chavez) อดีตนายทหารในกองทัพ กับนโยบายการบริหารประเทศของชาเบซเป็นแบบซ้ายจัด มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจประธานาธิบดี ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับสหรัฐอเมริกา พยายามเปลี่ยนประเทศเป็นสังคมนิยม ด้วยมีฐานเสียงหลักของเขาคือชนชั้นรากหญ้าซึ่งมีมากกว่า 70%ของประเทศ
 

      ชาเบซเป็นหัวขบวน ของกลุ่มการค้า "อัลบา" ในภูมิภาคละตินอเมริกา โดยขึ้นมาแทนอดีตประธานาธิบดีฟิเดล คาสโตร ของคิวบา รณรงค์ต่อต้านลัทธิทุนนิยมฝ่ายขวา ที่มีสหรัฐและยุโรปเป็นแกนนำ ซึ่งตอนนี้มีสมาชิก 9 ประเทศ ประกอบด้วย เบเนซ้วยลา เอกวาดอร์ โบลิเบีย กูบา ออนดูรัส นิการากัว แอนติกาและบาร์บูดา โดมินิกา และเซนต์วินเซนต์และเกรนาดีนส์
สเตฟาเนีย เฟอร์นันเดซ นางงามจักรวาลชาวเวเนซุเอลา
    
     
สำหรับคำว่า "เบเนซ้วยหละ" แปลว่า "เวนิสน้อย" เป็นคำภาษาสเปน ทั้งนี้เพราะ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ชาวอิตาลี มาเห็นพวกชนพื้นเมืองในท้องถิ่นนี้ ปลูกบ้านอยู่บนเสาสูงในทะเลสาบมาราไก้โบะ (Maracaibo) (ซึ่งเป็นทะเลสาบอยู่ตอนบนของประเทศเบเนซ้วยหละ เป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ ในทะเลสาบเป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศเบเนซ้วยหละและทวีปอเมริกาใต้) ทำให้เขานึกถึงนครเวนิสในอิตาลี เลยเรียกเมืองนี้ว่า เบเนซ้วยหละ และคำนี้ก็เลยกลายเป็นชื่อของประเทศในที่สุด
    
       นอกจากนางงามที่ลือเลื่องแล้ว เเนซ้วยหละยังเป็นแหล่งน้ำมัน สำคัญของโลกที่คุยได้ว่ามีเหลือเฟือ เป็นประเทศหนึ่งที่ได้ช่วยก่อตั้งองค์การ โอเป็ค (OPEC) เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ค.ศ.1976 ได้มีการพัฒนาแนวน้ำมัน (Tae Belt) ในลุ่มแม่น้ำโอริโนโก (Orinoco) การค้นพบน้ำมันทำให้ เวเนซุเอลา เปลี่ยนจากประเทศยากจนมาเป็นร่ำรวยที่สุดในละตินอเมริกา
    
       เมืองหลวงในปัจจุบันของเวเนซุเอลาคือ "คารากัส" (Caracas) ซึ่งมีชื่อเป็นทางการคือ ซัน เตียโก เด เลออง เด การากัส (San tiago de León de Caracas) เป็นเมืองหลวงของประเทศเบเนซ้วยหละ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ เป็นนครแห่งความแตกต่างแวบแรกที่เห็น ผู้มาเยือนมักตกใจ เพราะตามเนินเขาข้างทางที่ตรงมาจากสนามบินกับบริเวณรอบนอกเขตวงแหวนของเนิน กลางใจเมือง มีรังโซส (ranchos) หรือย่านคนจนอยู่อาศัยหลายพันหลัง แต่เขตกลางหุบเขากับย่านคนรวยทางตอนใต้และตะวันออกกลับสวยงามทันสมัย
ทะเลสาบมาราไคโบ ที่อุดมไปด้วยน้ำมัน
       เขตใจกลางเมืองการากัสเรียกว่าเซนโตร (Centro) มีจัตุรัสโบลิบาร์ (Plaza Bolivar) เป็นศูนย์กลางของเขตเมืองเก่าอันประกอบด้วยตึกรัฐสภา (Capitolio) สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 กาซ่า นาตาล (Casa Natal) บ้านเกิดของซีมอน โบลิบาร์ พิพิธภัณฑ์โบลิบาเรียโน (Musco Bolivariano) สถานที่ซึ่งใช้จัดแสดงสมบัติทางการทหาร
    
       อาคารกอนเซโฮ มูนิซิปาล (Concejo Municipal) สถานีที่ซึ่งเป็นจุดกำเนิดการเรียกร้องเอกราช ภายในอาคารมีพิพิธภัณฑ์กรีโอโย (Museo Criollo) จัดแสดงรูปจำลองชีวิตของพวกชนกรีโอโยในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ฝีมือของ ราอูล ซานตานา กับภาพเขียนของจิตรกรแนวอิมเพรสชั่นนิสต์ของ เอมีลิโอ บ๊อกกิโอ
   
       ห่างกันไม่ไกลเป็นที่ตั้งของ กาซ่า อามารียา (Caza Amarilla) เคยเป็นคุกและที่พำนักของประธานาธิบดี ปัจจุบันเป็นที่ทำการกระทรวงการต่างประเทศ มีทำเนียบรัฐบาล (Gober nacion ) ตั้งอยู่ตรงข้ามมุมตะวันตกเฉียงเหนือของจัตุรัสโบริวาร์ ชั้นล่างทำเป็นหอศิลป์ โดยมีเส้นเลือดใหญ่อย่างแม่น้ำโอริโนโก แม่น้ำสายใหญ่ที่สุดในเวเนซุเอลาคอยหล่อเลี้ยงทุกชีวิต
อาคารกอนเซโฮ มูนิซิปาล
       สำหรับนักช้อปตัวยง หากมาที่เบเนซ้วยหละต้องไปที่ เขตซัวโอ (Chuao) ที่มีศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมือง อาทิ ศูนย์การค้าตามานาโก (Centro Ciudad Comercial Tamanaco :CCCT) ภายในเต็มไปด้วยร้านค้าชั้นนำ ภัตตาคาร ไนต์คลับ บริษัททัวร์ สำนักงานของสายการบินเบียซาพร้อมบริการเช็คอินกระเป๋าล่วงหน้า ซูเปอร์มาร์เก็ตและโรงแรมหรู
   
       กรุงการากัสมี มหาวิทยาลัยกลางแห่งเบเนซ้วยหละ (Universidad Central de Venezuela) ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปีค.ศ.2000โดยเหตุผลที่ ว่า เป็นตัวอย่างที่ดีของการพัฒนาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่
ริมทะเลแคริบเบียนที่โชโรนี
       เบเนซ้วยหละมีภูมิประเทศที่ติดทะเลแคริบเบียน จึงมีหมู่บ้านตากอากาศริมทะเลอยู่หลายแห่ง โชโรนี (Chorini) ใน รัฐอารากัว (Aragua) ที่ตั้งอยู่ห่างจากกรุงการากัสราว150 กิโลเมตร เป็นอีกแห่งหนึ่งที่คุณจะได้ใกล้ชิดริมทะเลแคริบเบียน
   
       จากริมทะเลแคริบเบียน ที่เบเนซ้วยหละยังมีเขาสูง เดินทางเข้าสู่เขตเทือกเขาแอนดีสกันที่เมือง เมริด้า (Merrida) เมืองที่เปรียบเสมือนหลังคาของเบเนซ้วยหละ จัดเป็นเมืองที่สวยที่สุดของเบเนซ้วยหละ และมีเที่ยวบินบินมาประจำ แต่สำหรับนักท่องเที่ยว แนะนำให้เดินทางด้วยรถยนต์จะดีกว่า เพราะคุณจะได้สัมผัสธรรมชาติของเขตเทือกเขาแอนดีสได้อย่างแจ่มชัด ทั้งทิวเขาเขียว และลานหญ้าสลับกับไร่นา
ลอส อาเลโรส หมู่บ้านบนเขาสูง
       สถานที่ท่องเที่ยวในเขตนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ตั้งแต่เส้นทางที่สวยที่สุดจะตัดผ่านเมืองกัวนาเร (Guanare) อันเป็นศูนย์กลางการกสิกรรมของภาคกลางเข้าสู่ทางหลวงทรานซ์แอนเดียน (Transandean Highway)
   
       คุณจะได้เดินทางอยู่บน ปาราโม ปาโซปิโก เอล อากีลา (Paso Pico El Aguila) ซึ่งเป็นถนนลาดยางที่อยู่สูงที่สุดในเวเนซุเอลา ตั้งพาดผ่านเขตท้องทุ่ง "ปาราโม" (ระบบนิเวศน์แถบเทือกเขาแอนดีสเขตร้อน ที่ระดับความสูง 3,100 เมตรถึง 5,000 เมตร มีเฉพาะในประเทศโคลัมเบีย เวเนซุเอลา เอกวาดอร์ ตอนเหนือของเปรู คอสตาริก้า และปานามา) จะได้เห็นพุ่มไฟรย์เลฮอนใบตกเขียว และดอกไม้แปลกตาที่มีเฉพาะในเขตเทือกเขาแอนดีส
อย่าพลาดการขึ้นกระเช้าชมเมืองเมริด้า
       ที่เมืองเมริด้ายังมีอุทยานแห่งชาติชื่อดังอย่าง อุทยานแห่งชาติเซียรา เนบาดา (Sierra Nevada National Park) แปลเป็นไทยได้ว่าเทือกเขาหิมะ ที่ภายในมี ทะเลสาบกูปาฮี (Laguna Mucubaji) ซึ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาทะเลสาบจากธารน้ำแข็งทั้ง 200 แห่งของเมริด้า
   
       พร้อมเที่ยวชมหมู่บ้านท่องเที่ยวสำคัญในเขตเทือกเขาแอนดีส อย่าง หมู่บ้านซานราฟาเอล เด มูคูชิเอส ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่สูงที่สุดในเวเนซุเอลาสูงกว่า 3,190 เมตร และชมโบสถ์หินศูนย์รวมทางศาสนาของหมู่บ้าน
   
       แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งคือ ลอส อาเลโรส (Los Aleros) หมู่บ้านแถบเทือกเขาแอนดีสที่จำลองมาจากสมัยที่ยังไม่มีถนนไฮเวย์ตัดผ่าน
โบสถ์หินที่หมู่บ้านซานราฟาเอล เด มูคูชิเอส
       หมู่บ้านฆาฆิ (jaji) เป็นหมู่บ้านที่ไม่ใหญ่มากนักในเทือกเขาแอนดีส อาคารต่างๆได้รับการบูรณะและสร้างใหม่ช่วงปลายทศวรรษ 60 ในสถาปัตยกรรมพื้นเมืองเทือกเขาแอนดีส เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมที่ทุกคนไม่ควรพลาด เมื่อมาที่เมืองเมริด้า คือ การนั่งกระเช้าที่สูงและยาวที่สุดในโลกกว่า 12 กิโลเมตร ไปยังยอดเขาปิโค่ เอสเปโค สูง 4,765 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ดอกไม้แปลกตาบริเวณเทือกเขาแอนดีส
       และจะเรียกว่ามาถึงเบเนซ้วยหละอย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้ไปชม น้ำตกเเองเจิล (Angel Falls) น้ำตกสูงกลางป่าดงดิบในประเทศเบเนซ้วยหละ ชื่อน้ำตกมาจากนักบินชาวอเมริกัน จิมมี่ แองเจิล (Jimmy Angel) ผู้ค้บพบน้ำตกเป็นคนแรก เมื่อปี ค.ศ. 1935 (แต่มีชาวอินเดียนและนักผจญภัยหลายคนเอ่ยถึงน้ำตกนี้มาก่อนนานแล้ว) มีสมญานามว่า "ภูเขาปีศาจ" (Devil’s Mountain) เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในโลก สูงกว่าน้ำตกไนแองการ่า 18 เท่า มีความสูงกว่า 979 เมตร ผู้ที่จะเข้าชมน้ำตกสามารถเข้าไปโดยทางเรือและเครื่องบินเท่านั้น
   
       เห็นหรือยังว่านอกจากนางงาม ประธานาธิบดี และทองคำดำ แล้วเรื่องการท่องเที่ยว เบเนซ้วยหละ ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายไม่ด้อยกว่าที่ใดเลย.
น้ำตกแองเจิล น้ำตกที่สูงที่สุดในโลก
        
อมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
22 กุมภาพันธ์ 2013