วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

Le Concert (2009)

ข้อมูลโดย Nanatakara/bloggang.com

Le Concert 
(เลอ กงแซร์ - การแสดงดนตรี)

      หนังดราม่าตลกจากฝรั่งเศสที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับวงดนตรีคลาสสิคสุดอลหม่านเรื่องนี้ ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล César (หรือตุ๊กตาทองของฝรั่งเศส) ถึง 6 สาขาด้วยกัน (ก่อนจะกวาดมาได้ 2) และยังได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งล่าสุดในสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอด เยี่ยมอีกด้วยแน่ะ

สาวคนนี้คุ้นหน้าคุ้นตาที่สุดในเรื่องแล้ว
     Андрей Филиппов (อังเดร ฟีลีปปอฟ) วาทยากรชื่อดังชาวรัสเซียแห่งคณะ Большой (บัลชอย - ใหญ่) โดนพิษจากระบอบคอมมิวนิสต์เล่นงานจนต้องตกอับกลายเป็นภารโรงมากว่า 30 ปี แล้ววันดีคืนดีเขาก็สบโอกาสได้แอบสวมรอยเป็นคณะบัลชอย ซึ่งถูกเชิญให้ไปเปิดการแสดงที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ว่าแล้วเขาก็เลยต้องวิ่งวุ่นรวบรวมอดีตลูกวง ที่ต่างกระจัดกระจายไปประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ำกันหมดแล้ว จนเกิดเป็นเรื่องราววุ่นๆ ขำๆ สนุกสนาน ประทับใจปนบรรเจิดไปกับเสียงเพลงคลาสสิคกันตลอดงานเลยจ้า


ฉากเล่นคอนเสิร์ตบรรเจิดมาก
     แม้จะมาด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวกับวงดนตรีคลาสสิคแต่ก็ไม่ได้มีแต่ฉากเล่นดนตรีกันตลอดทั้งเรื่องหรอกนะ ผู้กำกับ Radu Mihaileanu (ราดู มิเเอเลอานู) เล่าเรื่องให้ออกมาดูง่าย ผ่อนคลาย ตลก และยังประทับใจแบบซึ้งๆ ได้อีกเป็นอย่างดีด้วยเรื่องราวสไตล์'รวบรวมทีมสุดอลหม่าน'ในช่วงแรกอันสนุก สนาน และตามมาด้วยฉากดราม่าขำไม่ออกในช่วงกลางเรื่อง ก่อนจะปิดท้ายด้วยฉากแสดงคอนเสิร์ตที่ลากยาวเต็มๆ เกือบ 20 นาทีได้อย่างสุดบรรเจิดน่าประทับจิตยิ่งนัก

ดูความหล่อของผู้ชายแต่ละคนซะก่อน
      นักแสดงส่วนใหญ่ดูจะไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตานัก แต่ก็ทำหน้าที่กันได้ดี แถมทุกคนยังเล่นดนตรีได้อีกด้วย ก็เลยสร้างความน่าเชื่อถือและอารมณ์ร่วมในฉากเล่นคอนเสิร์ตท้ายเรื่องได้แบบ สุดๆ ไปเลย ซึ่งสำหรับคนที่เคยไม่หือไม่อือกับเพลงคลาสสิคมาก่อน ดูเรื่องนี้แล้วท่านจะพบว่าเพลงคลาสสิคนี่ก็น่าฟัง และฟังไม่ยากอย่างที่เคยคิดเลยล่ะ ขอบอก

นักแสดงส่วนใหญ่เล่นดนตรีได้จริงๆ ไม่มีเม้ม
     สิ่งที่น่าสังเกตในหนังเรื่องนี้คือการที่ชาวตะวันตกเขามีดนตรีในหัวใจกันอย่างน่าชื่นชมจริงๆ คนทุกเพศทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะยากดีมีจน ล้วนสามารถหยิบจับเครื่องดนตรีชนิดโปรดของตนมาบรรเลงได้อย่างมีความสุข เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาจริงๆ ซึ่งก็น่าเสียดายที่บ้านเรา คงจะเห็นภาพแบบนั้นได้ยาก เพราะไม่ว่าจะด้วยพื้นฐานทางวัฒนธรรมหรืออะไรๆ อีกหลายอย่าง ที่แม้แต่เครื่องดนตรีไทยเรายังจะหาคนเล่นได้ยากเลย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนไทยส่วนใหญ่จึงคิดว่าดนตรีคลาสสิคถึงเป็นอะไรที่ ห่างไกลจากพวกเขานัก (เราเองก็เคยคิดแบบนั้น)

*ช่วงเพลงในหนัง*

 Чайковский (ชีย์โกฟสกี)

     พวกพระเอกเราเป็นชาวรัสเซีย และพระเอกเราก็ชื่นชมปนช่ำชองกับเพลงของ Петр Ильич Чайковский (ปีตรฺ อีลีช ชีย์โกฟสกี) คีตกวีเอกชาวรัสเซียยิ่งนัก จนถึงกับตั้งอกตั้งใจจะเล่น Violin Concerto in D major, Op. 35 ใน คอนเสิร์ตที่ปารีส ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันในหมู่นักดนตรีคลาสสิคว่านี่เป็น ไวโอลิน คอนแชร์โต้ ปราบเซียนที่เล่นยากที่สุดเพลงหนึ่งเลยทีเดียว

     และอย่างที่เราจะเห็นในหนังว่าหลังจากที่พวกเขาไม่ได้เล่นด้วยกันมากว่า 30 ปีแล้ว แถมยังไม่ได้มีโอกาสซ้อมกันเลย เพราะต่างคนต่างมัวแต่ดอดไปทำธุระของตนเอง ในตอนเริ่มต้นเล่นจึงทำไม่ดีกันนัก ก่อนที่จะค่อยๆ หลอมรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ในเวลาต่อมา ว่าแล้วเราก็มีฉากสุดบรรเจิดนี้มาให้ชมกัน ซึ่งก็ถือว่าสปอยล์กันนิดหน่อย (แต่ไม่ร้ายแรง) ถ้าใครดูแล้วติดใจเราก็มี MP3 ไว้ให้โหลดไปฟังกันบรรเจิดไปข้างเลยด้วยจ้า



 Rejoignez le groupes de facebook "Le Club des Langues occidentales de Université Ramkhamhaeng" à https://www.facebook.com/groups/365756166805480/

สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/

 จอมณรงธร (ตี๋)
กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2556-57
กลุ่ม "Fanclub FS"
30 เมษายน 2014

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

Los Ojos de Julia (2010)

ข้อมูลโดย Nanatakara/bloggang.com

Los Ojos de Julia
(โลส โอ้โฆส เด ฆูเลีย - ดวงตาของฆูเลีย)

     Guillermo del Toro (กิเยร์โม เดล โต๊โร) หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามเสี่ย Peter Jackson ไปปักหลักที่นิวซีแลนด์ซะนานสองนาน เพื่อเตรียมกำกับหนัง The Hobbit แต่รอจนแล้วจนรอดหนังก็ไม่ได้ฤกษ์สร้างเสียที (เพราะสตูดิโอ MGM มีปัญหาด้านการเงิน) เขาเลยตัดสินใจถอนตัวจากการเป็น ผู้กำกับให้เสี่ย Jackson เสียบแทน (แต่ยังรับเครดิตเขียนบทร่วมอยู่) เพื่อกลับไปทำโปรเจกต์ที่ตนอยากทำรวมถึงการทำหน้าที่เป็นป๋าดัน โปรดิวเซอร์ให้หนังทริลเลอร์จากสเปนเรื่องนี้ด้วย


ความบอดคืออุปสรรคสำคัญในเรื่องนี้

     หนังเล่าเรื่องของ Julia (Belén Rueda "เบเลน ร๊วยดา" จาก El Orfanato - เอล โอร์ฟาน้าโต "สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า" ปี 2007) สาวใหญ่กระดังงาลนไฟที่ตากำลังจะบอดลงทีละนิด  ซึ่งพบว่าการตายของพี่สาวฝาแฝดของเธอนั้นมีเงื่อนงำน่าสงสัยบางอย่าง จึงได้ออกสืบหาความจริงด้วยตนเองจนได้พบกับเรื่องราวสุดระทึกขวัญสั่นประสาท เมื่อเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังตามติดเธออยู่ทุกฝีก้าวเลยทีเดียว


หนังเต็มไปด้วยฉากมืดๆ ทึมๆ

     ผลงานของ ผู้กำกับ Guillem Morales (กิเยม โมร้าเลส) เรื่องนี้มีไอเดียที่น่าสนใจทีเดียว ด้วยการนำเอาเรื่องของคนที่ตากำลังจะบอดอยู่รอมร่อมาเป็นเงื่อนไขเพิ่มความระทึกให้กับตัวหนัง และยังเสนอตัวเองให้ก้ำกึ่งระหว่างหนังทริลเลอร์ชวนสงสัย กับหนังสยองแนวเหนือธรรมชาติได้เป็นอย่างดี แม้จะใช้นักแสดงแค่ไม่กี่คนและมีฉากโหดๆ เพียงน้อยนิด แต่ก็ชวนสยองอย่างได้ผลชะงัดนักแล

เจ๊เขา 46 ขวบแล้วแต่ยังแจ๋วอยู่ , นางเอกเราเล่นดีทีเดียว
     ทว่า หนังไม่มีอะไรที่พลิกผันเกินคาดเดา และยังกลายเป็นทริลเลอร์เอาเถิดเอาล่อพิมพ์นิยมไปในช่วงท้ายๆ เรื่อง ซึ่งก็ยังดีนะที่หนังยังแอบมีซึ้งปิดตัวลงด้วยความเศร้าซึ้งกินใจ ผลลัพธ์โดยรวมจึงออกมาเป็นหนังทริลเลอร์ที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง และเตรียมรอวันถูกฮอลลีวู้ดนำไปรีเมคในภายภาคหน้าได้เลย


Únete al grupo de Facebook "Club de las lenguas occidentales de la Universidad de Ramkhamhaeng" al https://www.facebook.com/groups/365756166805480/

สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/


จอมณรงธร (ตี๋)
กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2556-57
กลุ่ม "Fanclub FS"
29 เมษายน 2014








วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557

Chacun son cinéma (2007)

ข้อมูลโดย Nanatakara/bloggang.com



Chacun son cinéma
(ชากัง ซง ซิเน้มา - ภาพยนตร์ของแต่ละคน)

     เนื่องด้วยวาระที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ ณ ประเทศฝรั่งเศส มีอายุอานามครบรอบ 60 ขวบเมื่อปี 2007 และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองจึงได้มีการชักชวนเหล่า ผู้กำกับชั้นนำของโลกกว่า 36 รายมาทำหนังสั้นคนละสามนาที โดยมีหัวข้อเกี่ยวกับ "โรงหนัง" นั่นเองจ้า

     ส่วนบรรดารายนามของบรรดาผู้กำกับดัง ๆ ชื่อคุ้น ๆ ที่ส่งหนังเข้าร่วมสังฆกรรมครั้งนี้นั้นก็ได้แก่ ทาเคชิ คิตาโน่ , จางอวี้โหมว , เฉินข่ายเก๋อ , หว่องกาไว , Wim Wenders, Gus Van Sant, David Cronenberg, Lars von Trier, Roman Polanski, Jane Campion เป็นอาทิ

ตอนซ้ายของทั่น Roman Polanski คือหนึ่งในตอนที่ฮาที่สุด
     และเพราะโจทย์ที่เปิดกว้างเช่นนี้ แต่ละท่าน แต่ละเรื่องจึงบรรเลงกันตามอัธยาศัยเชียว ดังนั้นเราจึงจะได้เห็นเรื่องที่ ตลก, ซาบซึ้ง, แนว, การเมือง, สามช่า, จี๊ด ฯลฯ เรียกได้ว่ามีมาไม่ซ้ำแบบกันเลย ซึ่งที่โดดเด่นหน่อยก็คงจะเป็นเรื่องของ จางอวี้โหมว ที่ดูง่ายน่าประทับใจและเรียกรอยยิ้มได้ดีตามสไตล์หนังของเขา หรือในเรื่องของ Lars von Trier ที่น้าแกโผล่มาโชว์โหดด้วยตนเอง ส่วนเรื่องที่ออกแนวตลกสัปดนของท่าน Roman Polanski ก็ฮามิใช่เล่น ส่วนที่ดึงดูดใจสำหรับเรามากที่สุดอีกเรื่องก็คือผลงานของ Elia Suleiman ที่ออกแนวตลกร้ายหน้าตายได้อย่างโดนใจจริงๆ


มีหนังสั้นครบทุกรสให้ได้ดูกันเลย
     แต่เพราะความหลากหลายในแนวทาง และความที่แต่ละเรื่องมีความยาวนิดๆ หน่อยๆ เลยอาจจะให้ความรู้สึกว่า "อะไรฟะ แค่เนี้ย.. จบแล้วหรอเนี่ย?" แก่ท่านในขณะรับชมได้ ยิ่งมีให้ดูกันถึง 33 เรื่องด้วยก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีอะไรติดอยู่ในความทรงจำอันเลอะเลือนของเราได้ มากนัก เพราะมันเยอะไปหมด (เสียดายฉบับที่ได้ดู ไม่มีผลงานของ David Lynch และสองพี่น้อง Coen รวมอยู่ด้วย)

บรรดาผู้กำกับที่ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการ
     ยังไงซะการที่ได้ชมผลงานหนังสั้นของบรรดา ผู้กำกับคุณภาพจากเกือบจะทั่วโลกเช่นนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าลิ้มลอง โดยเฉพาะสำหรับบรรดา 'คนรักหนัง' ทั้งหลาย ที่คงจะปลาบปลื้มใจมิใช่น้อย เพราะจะได้ชมบรรดาหนังสั้นที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับ 'คนรักหนัง' โดยฝีมือของบรรดา 'คนรักหนัง' นั่นเองจ้า


Rejoignez le groupes de facebook "Le Club des Langues occidentales de Université Ramkhamhaeng" à https://www.facebook.com/groups/365756166805480/

สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/
 
 จอมณรงธร (ตี๋)
กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2556-57
กลุ่ม "Fanclub FS"
27 เมษายน 2014




วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

Secuestrados (2010)

ข้อมูลโดย Nanatakara/bloggang.com



 Secuestrados 
(เซกวยส์ตร้าโดส - ถูกลักพาตัว)
     พ่อแม่ลูกผู้มีอันจะกินเพิ่งจะย้ายขึ้นบ้านใหม่สุดหรูย่านชานเมืองของกรุงมาดริด แล้วในคืนวันนั้นเองงานก็เข้า เมื่อมีไอ้โม่งชุดดำสามหน่อบุกเข้าบ้านมาจับตัวพวกเขาไว้ แล้วกวาดทรัพย์สินพร้อมคุมตัวคนพ่อให้ออกไปกดเงินออกมาจากเอทีเอ็มให้เรียบ ส่วนลูกสาวกับเมียถูกจับไว้เป็นตัวประกันอยู่ที่บ้าน โดยพวกมันกำชับเขาว่าหากมีอะไรตุกติกขึ้นมาล่ะก็ สองคนนี้ตาย! ว่าแล้วการเอาเถิดเอาล่อสุดระทึกระหว่างสามโจรกับสามเหยื่อก็เกิดขึ้นตามมา จนท่านจะต้องลุ้นชนิดแทบลืมหายใจเลยทีเดียวเชียวนะขอบอก!

มีไอ้โม่งบุกบ้านแบบนี้เป็นใครก็ต้องสติแตก
     ถึงผลงานหนังทริลเลอร์ของ Miguel Ángel Vivas (มิเกล อั้งเฆล บีบาส) เรื่องนี้จะมาพร้อมด้วยพล็อตเรื่องที่เราเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว แต่สไตล์การนำเสนอของเขานั้นสามารถทำให้หนังออกมาดูลุ้นระทึกสุดแจ่มยิ่งนัก และแทบจะจับความสนใจของคนดูได้แทบจะอยู่หมัดโดยทันที เมื่อหนังเริ่มต้นขึ้นด้วยสไตล์การแบกกล้องถ่ายที่คอยตามติดตัวละครแทบจะทุกฝีก้าว หรือการแบ่งเฟรมเพื่อเสนอภาพสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันก่อนจะค่อย ๆ มา บรรจบกันเป็นเฟรมเดียวในที่สุด (เจ๋ง!)

อย่าทำให้สาวๆ ต้องโมโหนะเฟ้ย
     ทั้งเรื่องใช้นักแสดงไม่กี่คนแต่ก็เอาอยู่ เพราะมีฉากลุ้นระทึกตลอด โดยแทบจะไม่มีเสียงดนตรีประกอบให้ได้ยินเลยสักนิด นอกจากเสียงกรีดร้องคร่ำครวญของบรรดาสาวๆ ในเรื่องที่เปรียบเสมือนกับดนตรีประกอบของหนังไปซะแล้ว ซึ่งก็ยิ่งทำให้หนังออกมาทั้งสมจริงและรุนแรง กดดันคนดูให้ลุ้นไปเครียดไปจนน้ำลายเหนียวได้อย่างชะงัดนักแล

หนังมีดีที่สไตล์การนำเสนอสุดแจ่ม
     บทสรุปของหนังที่ไม่เป็นไปตามสูตรสำเร็จเหมือนหนังฮอลลีวู้ดนั้น ก็อาจเป็นตัวแบ่งคนดูออกมาเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน คือถ้าไม่ซูฮกชื่นชมก็ผิดหวังด่าเปิงไปเลย ซึ่งอันนี้ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณและรสนิยมของคนดูแต่ละคนแล้วล่ะ ส่วนสำหรับเรานั้น หนังเรื่องนี้ถูกจริตน่าพอใจเอามากๆ จึงขออวยอย่างหน้าชื่นตาบาน และน่าติดตามผลงานของ ผู้กำกับคนนี้ต่อไปยิ่งนักจ้า


Únete al grupo de Facebook "Club de las lenguas occidentales de la Universidad de Ramkhamhaeng" al https://www.facebook.com/groups/365756166805480/

สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/

 จอมณรงธร (ตี๋)
กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2556-57
กลุ่ม "Fanclub FS"
26 เมษายน 2014


วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

Pina (2011)

ข้อมูลโดย Nanatakara/bloggang.com


Pina
(พีนา)

     Wim Wenders (วิม เวนดาร์ส) ผู้กำกับสุดอาร์ตในตำนานจากประเทศเยอรมันวางแผนจะทำหนังสารคดีเกี่ยวกับ Pina Bausch (พีนา เบาช์) นักออกแบบท่าเต้นแนวโมเดิร์นแดนซ์ชั้นครู แต่น่าเศร้าที่เธอเสียชีวิตอย่างกระทันหันด้วยโรคมะเร็งเสียก่อนในวัย 68 ปี ผู้กำกับเราเลยจำต้องพับโครงการไปโดยปริยาย ทว่าบรรดานักเต้นร่วมคณะ Tanztheater Wuppertal (ทันส์เธอาทาร์ วูปพาร์ทัล) ของเธอยืนยันที่จะให้ ผู้กำกับ Wenders ทำหนังต่อไปเพื่อเป็นการรำลึกถึงและอุทิศแด่เธอแทน
 

ผู้หญิงบางคนก็เกิดมาเพื่อแบกผู้ชาย
     ซึ่ง ผู้กำกับ Wenders ก็เห็นดีเห็นงามด้วย แล้วทำหนังนำเสนอไปที่นักเต้นคนอื่นๆ ในคณะ โดยให้พวกเขาแต่ละคนผลัดกันมาเต้นให้ดูและพูดถึง Pina ในความรู้สึกของพวกเขาเอง ซึ่งก็มีทั้งการเต้นในโรงละคร และตามสถานที่สาธารณะทั่วไป (แม้แต่บนรถไฟฟ้าก็มี) แถม ผู้กำกับเรายังทำเก๋ด้วยการทำเป็นหนัง 3D ให้ระบำทะลุจอออกมากันเลยทีเดียวล่ะงานนี้

สาดน้ำกันอย่างกับสงกรานต์บ้านเรา
     หนังเป็นเหมือนการนำเสนอลีลาเต้นระบำของชาวคณะ ที่ไม่ได้จำกัดตนเองแต่ในโรงละครหรือบนเวทีเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้หนังออกมาดูแนวและแปลกตาขึ้นไปอีกแบบ และถึงหนังจะเป็นการรำลึกถึง Pina แต่ก็เสนอภาพของป้าแต่เพียงเล็กน้อย เพราะบรรดาท่าเต้นที่ป้าออกแบบนั่นก็เสนอตัวตนของป้าเองมากพออยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อมีการกล่าวถึงป้าก็ใช้วิธีถ่ายทอดความคิดรำพึงรำพันของนักเต้น แต่ละคนมากกว่าจะให้มานั่งสัมภาษณ์แบบสารคดีทั่วๆ ไปอีกด้วย
 
เต้นกันที่สระว่ายน้ำและริมถนนก็มี
     ก็ต้องยอมรับว่าคอหนังบ้านๆ อย่างเราที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องเต้นๆ หรือศิลปะแขนงนี้เลยนั้นคงจะไม่ค่อยเก็ตหรืออินอะไรมากนัก แถมบางทีท่าเต้นแปลกๆ พิลึกๆ ของชาวคณะก็ชวนเหวอมากกว่าชวนเคลิ้ม รวมทั้งฉบับที่เราดูไม่ใช่แบบ 3D ด้วย แต่ภาพที่เห็นตลอดทั้งเรื่องนั้นช่างงดงาม น่าตื่นตาตื่นใจและน่าทึ่งยิ่งนัก ดังนั้นคงไม่ยากเลยที่หลายคนจะต้องมนต์ของหนังและลีลาท่าเต้นที่ผู้หญิงผอมๆ ที่ชื่อ Pina Bausch ได้สร้างสรรค์ไว้เป็นมรดกแก่โลกนี้
    *อำลาอาลัย*
         Pina Bausch (27 ก.ค.1940 – 30 มิ.ย.2009) คน ที่เคยดู Habla con ella 2002 (อ้าบลา โกน เอ้ยา - บอกหล่อนสิ) ของเจ้าป้า Pedro Almodóvar (เป้โดร อัลโมโด้บาร์) คงจะจำฉากที่พระเอกไปนั่งดูการแสดงสุดพิลึกตอนต้นเรื่อง ที่มีผู้หญิงตาบอดผอม ๆ เพ้อๆ ถลาไปมาบนเวที และมีผู้ชายคอยเก็บเก้าอี้ให้พ้นทางเธอกันได้ ซึ่งนั่นก็คือการแสดงที่ Pina สร้างสรรค์ขึ้นมาเองในชื่อ 'Café Müller' (คาเฟ่ มูลลาร์) ซึ่งในหนังเรื่องนี้ก็มีมาให้ดูกันจุใจเลยจ้า อืม ที่แท้ก็ฝีมือป้า Pina นี่เอง เยี่ยมไปเลยจ้า

     สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 




     จอมณรงธร (ตี๋)
    กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
    ปีการศึกษา 2556-57
    กลุ่ม "Fanclub FS"
    25 เมษายน 2014





    วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

    Le gamin au vélo (2011)

    ข้อมูลโดย Nanatakara/bloggang.com


     Le gamin au vélo
    (เลอ กาแมง โอ เว้โล - เด็กขี่จักรยาน)
         Cyril (ซีริล) หนูน้อยนิสัยดื้อรั้นวัย 11 ขวบ โดนพ่อทิ้งให้อยู่สถานสงเคราะห์เด็กมาได้พักใหญ่ แต่แล้วจู่ ๆ พ่อที่เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเขาก็ย้ายบ้านหายหัวหนีไปซะดื้อ ๆ เล่นเอาเขาแทบอยู่ไม่ติด และออกตามหาพ่ออย่างไม่หยุดหย่อน โดยมีเพียงจักรยานคู่ชีพของเขาที่พ่อเคยซื้อให้เป็นสมบัติติดตัวอันล้ำค่า ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนความรักของพ่อที่มีต่อเขา
    หนังดีจากเบลเยี่ยมมาอีกแล้วจ้า
         และต่อมาสวรรค์ก็ชักพาให้เขาได้พบกับ Samantha (ซามองธา) สาวใหญ่ช่างทำผมน้ำใจงามที่รู้สึกถูกชะตาเด็กชายตัวน้อยคนนี้ทันทีที่ได้เจอ และตกลงรับอุปการะให้เขามาพักอยู่ด้วยในทุกช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมกับรับปากจะช่วยตามหาพ่อของ Cyril อีกแรง ซึ่งนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพอันแสนประทับใจของทั้งคู่ ที่ท่านจะต้องจดจำไปอีกนานโขเลยทีเดียวเชียว


    หนูน้อยเสื้อแดงคนนี้แสดงดีมากๆ
         นี่คือผลงานล่าสุดของสองศรีพี่น้องตระกูล Dardenne (Jean-Pierre "ฌอง-เปียร์" และ Luc Dardenne "ลุก ดาร์แดน) ผู้กำกับแพ็คคู่ระดับพรีเมี่ยมจากประเทศเบลเยี่ยม ที่ทำหนังออกมาทีไรก็มักจะไปได้ดิบได้ดีที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ซะจนกลายเป็นแขกประจำของที่นั่นไปซะแล้ว และหนังเรื่องนี้ก็ถึงกับสามารถคว้ารางวัล Grand Prix ซึ่งก็คือรางวัลที่มีศักดิ์ศรีเป็นอันดับที่ 2 รองจากรางวัลปาล์มทองคำ
    หนังสะท้อนปัญหาสังคมในแบบที่บ้านเราก็มีแบบนี้ให้เห็น
         หนังดราม่าเรื่องราวบ้าน ๆ เรื่องนี้ดูดีมีเสน่ห์ น่าประทับใจ ดูไม่ยากและชวนติดตามตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งถึงแม้ตัวสอง ผู้กำกับจะบอกว่าอยากทำหนังที่ออกไปทางเทพนิยาย เห็นได้จากการให้พระเอกเราใส่เสื้อสีแดงตลอดที่ชวนให้นึกถึง 'หนูน้อยหมวกแดง'ขึ้นมา แต่ก็สามารถสะท้อนสังคมและดูจริงจังดีชะมัด ในขณะที่ลีลาการเล่าเรื่องของสอง ผกก.นั้นก็ทำให้หนังดูเหนือกว่าหนังดราม่าทั่ว ๆ ไปอยู่หลายขุมนัก

    จักรยานคือพาหนะหลักของหนังเรื่องนี้
         ส่วน 2 นักแสดงนำอย่างคุณ Cécile (เซซิล) และหนูน้อย Thomas Doret (โธมา โดเคร) ก็ทำหน้าที่ได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะคนหลังที่เพิ่งมาเล่นหนังเป็นเรื่องแรก แต่ก็สามารถรับบทเป็นเด็กมีปัญหาแต่มีความมุ่งมั่น (ถึงขั้นดื้อรั้น) ได้แจ่มมากๆ ชนิดที่ทั้งน่าตบเกรียนปนน่าสงสารแบบทูอินวันเลยเชียวล่ะ และการที่นี่เป็นหนังเรื่องแรกของ 2 ผู้กำกับที่เริ่มหันมาใช้ดนตรีประกอบก็ทำให้ส่งเสริมอารมณ์ดราม่าให้กับตัวหนัง ได้ขึ้นมาแยะเลยทีเดียว

    หน้าตาของสองศรีพี่น้อง Dardenne
         เด็กที่ประสบปัญหาแบบเดียวกับ Cyril นั้นก็มีมากมายในสังคมโลกทุกวันนี้ ที่คนหนุ่มสาวมีลูกในขณะที่ยังไม่พร้อม แล้วสุดท้ายก็ต้องทอดทิ้งลูกไป ทำให้เด็กนั้นขาดความรักและเริ่มทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา ซึ่งหากว่าเจอผู้ใหญ่ดีๆ อุปถัมภ์ค้ำชูและคอยชี้นำทาง มอบความรักให้แบบในหนังเรื่องนี้ก็ดีไป แต่ในความเป็นจริงแล้วจะมีสักกี่คนที่จะมีโอกาสได้เจอผู้ใหญ่แบบนั้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งในปัญหาหนักอกบนโลกเบี้ยวๆ ใบนี้ ที่เราต้องประสบกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน


     Rejoignez le groupes de facebook "Le Club des Langues occidentales de Université Ramkhamhaeng" à https://www.facebook.com/groups/365756166805480/

    สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/
     
     จอมณรงธร (ตี๋)
    กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
    ปีการศึกษา 2556-57
    กลุ่ม "Fanclub FS"
    24 เมษายน 2014