วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

สเปนเข้ารอบสุดท้ายเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิก 2020

  ข้อมูลจาก educatepark.com
กรุงมาดริด ประเทศสเปน เป็น 1 ใน 3 ของเมืองที่มีโอกาสในการจัดกีฬาโอลิมปิก ในปีค.ศ. 2020 โดยอีก 2 เมืองคู่แข่ง คือ โตเกียว และอิสตัลบลู ซึ่งครั้งนี้นั้นกรุงมาดริดได้รับคะแนนในการคัดเลือกเป็นอันดับสูงสุด

ก่อนหน้านี้เองกรุงมาดริดก็ได้เสนอชื่อเข้าเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิก โดยในปีค.ศ. 1972 ก็แพ้ให้กับทางกรุงมิวนิค ประเทศเยอรมัน ปีค.ศ. 2012 ได้แพ้ให้กับทางเจ้าภาพปัจจุบันอย่างกรุงลอนดอน และในปีค.ศ 2016 แพ้ให้กับทางกรุงริโอเดอเจนาโร ประเทศบราซิล


หากในผลการคัดเลือกครั้งสุดท้าย วันที่ 7 กันยายน 2013 กรุงมาดริดได้รับโอกาสในการจัดโอลิมปิกในปีค.ศ. 2020 นี่จะเป็นการจัดโอลิมปิกครั้งที่ 2 ของประเทศสเปน

จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
29 กันยายน 2012

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

นิสัยหนุ่มชาวยุโรป

ข้อมูลโดย fahsai26
หนุ่มฝรั่งเศส 
หนุ่มฝรั่งเศสมีดีตรงที่ มีความรับผิดชอบสูงไม่แพ้ชาติใด และด้วยบรรยากาศในประเทศที่สุดแสนจะโรแมนติกจึงทำให้หนุ่มหล่อดินแดนน้ำหอมนี้ ซึมซับความโรแมนติกมาไว้เป็นนิสัย ผู้ชายฝรั่งเศสจะพิถีพิถันมากในเรื่องการแต่งตัว ทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม ต้องดูดีตลอด บางครั้งของใช้อาจไม่ต้องแพง แต่ต้องดูดีมีสกุล แต่ไม่ใช่ว่า หนุ่มฝรั่งเศสจะฟุ่มเฟือยไปซะหมด 
Gaspard Ulliel
 
โดย ทั่วๆไปแล้วหนุ่มชาตินี้มีรสนิยมสูง เพราะประเทศฝรั่งเศสมีวัฒนธรรมการกินอยู่ที่ดี หรูหรา มีระดับ และมีความเป็นชาตินิยมเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ดังนั้นผู้ชายฝรั่งเศสจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง หากคนภายนอกมองอาจคิดว่าเห็นแก่ตัวนิดๆ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย โดยเฉพาะเรื่องครอบครัวเขาจะเอาใจใส่มาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นครอบครัวต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก เรื่องอื่นค่อยว่ากันตามคิว 

แต่ถ้ายังไม่ได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาหนุ่มๆ เมืองน้ำหอมอาจมีบ้างเจ้าชู้ตามประสาผู้ชายพายเรือทั่วไป ซึ่งเขาจะถนัดในการโปรยเสน่ห์ให้สาวๆ เคลิบเคลิ้มแต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะไม่ว่าผู้ชายชาติไหนก็ต้องชอบสาวๆ (ถ้าไม่ใช่อีแอบนะ) ผู้ชายฝรั่งเศสนับว่าเป็นหนุ่มที่มีเสน่ห์ไม่เบาเลยทีเดียว เพราะพูดจาก็แสนหวานหู สุภาพ เรียกว่าคารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรอง

แต่ถ้าแต่งงานแล้วเค้าจะเป็นคนที่รักครอบครัวมาก ให้เกียรติภรรยาไม่นิยมมีภรรยาพร้อมกันทีละหลายๆ คนหลายตำแหน่ง จึงลืมไปได้เลยว่าหนุ่มฝรั่งเศสจะมีเมียน้อย นอกจากนั้นยังชอบพาภรรยาไปอวดโฉมตามงานต่างๆ ออกหน้าออกตางานสังคมไม่ขาด ไม่เหมือนชายไทยชอบเก็บเมียไว้บ้านจนทึนทึก แล้วควงกิ๊กไปแทน แต่ทว่าถึงคราวเตียงหัก อย่าคิดว่าจะมีกาวดีมาต่อให้ติดได้ เพราะผู้ชายฝรั่งเศสจะถือคติ เลิกแล้วเลิกเลย ไม่มีเกียร์ถอยหลังแน่นอน

หนุ่มเยอรมัน 
ว่า กันว่าหญิงไทยในอดีตที่ตกร่องปล่องชิ้นกับหนุ่มเยอรมันนั้น ต้องเหนื่อยตาเหลือกทุกราย เพราะดันได้สามีชั้นแรงงาน ชีวิตเลยต้องอดทนตกระกำลำบาก เพราะต้องแบกหามเพราะคุณสามีใช้ให้ทำงานหนัก แต่เดี๋ยวนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป ชีวิตหนุ่มเยอรมันเขาก็พัฒนาและทำความรู้จักกับวัฒนธรรมไทยในทางที่ดีขึ้น อาจเป็นเพราะทุกวันนี้ประเทศเยอรมนีเต็มไปด้วยผู้คนจากหลากหลาย เชื้อชาติ ชาวเยอรมันจึงชอบที่จะเรียนรู้และให้โอกาสคนชาติอื่นๆ มากกว่าแต่ก่อน นอกจากนั้นหนุ่มเมืองเบียร์ยังมีนิสัยตรงไปตรงมาราวกับไม้บรรทัดเหล็ก จริงใจไม่จิงโจ้ เทกแคร์(สาวๆ) ดีมาก ไม่ชอบเอาเปรียบใคร และไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบด้วย นอกจากนี้หนุ่มเยอรมันยังมีความรอบคอบในการใช้เงินสูง รู้จักเก็บ รู้จักใช้ และมีการวางแผนชีวิตที่น่านับถือ ดังนั้นสาวๆ มั่นใจได้เลยว่าชีวิตคู่กับหนุ่มเยอรมันจะไม่มีคำว่ากัดก้อนเกลือกินแน่

Til Schweiger


ส่วนมากผู้ชายเยอรมันที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยมักประทับใจในวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะเรื่องความโอบอ้อมอารีและเป็นกันเอง ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และมีสภาพครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น เลยทำให้หนุ่มเยอรมันชนชั้นกลางเลยไปจนถึงชนชั้นล่างส่วนใหญ่ใฝ่่ฝันว่าชาติ นี้จะแต่งงานกับหญิงไทยให้ได้ แต่สาวไทยต้องคำนึงถึงว่าผู้ชายเยอรมันมาเที่ยวเมืองไทยนั้น เขาใช้ชีวิตแบบจ่ายเงินง่าย (รูดปื๊ดๆ) ไม่คิดมากเพราะสกุลเงินเขากับเรามันต่างกัน เขาใช้เงินยูโรของเยอรมัน เราใช้สกุลเงินบาท จึงอย่าหลงไหลได้ปลื้มว่าเขามีอันจะกินทุกราย ปัจจุบันผู้หญิงไทยและผู้ชายเยอรมันมีการเรียนรู้กันมากขึ้น มีไม่น้อยที่สาวไทยทดลองไปอยู่เยอรมันก่อนแต่ง เพราะผู้ชายเยอรมันเองก็ไม่อยากแต่งๆ หย่าๆ เนื่องจากเค้านับถือคาทอลิก ยึดถือการแต่งงานเพียงครั้งเดียว ที่สำคัญกฎหมายที่นั่นเค้าเด็ดขาดมาก หากผู้ชายลองหย่าเมียเมื่อไหร่รับรองว่าหมดตูดแน่ๆ ซ่าไม่ได้อีกนาน ดังนั้นมีความรับผิดชอบมากกว่าผู้ชายไทยหลายเท่าตัว แถมยังให้เกียรติ เคารพสิทธิ มีความซื่อสัตย์ จริงใจกับภรรยาในเกณฑ์ดีถึงดีมาก
Mats Hummels

แต่ทว่าน่าเสียดายที่กลุ่มผู้ชายเยอรมันที่มีการศึกษาสูงและมีฐานะดีถึงดีมาก นั้น มักไม่ค่อยมองสาวๆ ต่างชาติเท่าไหร ส่วนใหญ่มักเลือกลงเลยกับผู้หญิงชาติเดียวกัน เว้นเสียแต่ว่าทั้งคู่นั้นเรียนมาด้วยกัน ก็เลยพัฒนาความสัมพันธ์มาจากเพื่อนสนิท จนกลายเป็นคู่รักในที่สุด แต่ถ้าหนุ่มๆ เยอรมันเกรดดีๆ จะเลือกสาวต่างแดนมาแต่งงานด้วย จะเลือกผู้หญิงที่มีระดับทัดเทียมกัน ทั้งเรื่องการศึกษาและฐานะ

นอกจากนี้การเลือกคู่ครองของคนเยอรมัน ใช่ว่าทุกคนจะเห็นดีเห็นงามกับการเลือกคู่ครองกับผู้หญิงต่างชาติไปเสียหมด ทุกวันนี้ก็ยังมีผู้ชายเยอรมันหลายคนที่ดูถูกการที่มีสามีหรือภรรยาเป็นชาว เอเชีย เพราะถือว่าคนที่มีคู่ครองเป็นชาวต่างชาตินั้นจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนใน ชาติ
 หนุ่มสเปน
หนุ่ม สเปนเมืองกระทิงดุส่วนใหญ่เป็นหนุ่มกำยำล่ำสัน หน้าคมคิ้วเข้มผิวสีแทน และแววตาสวยเป็นประกายแวววับ หากได้ลองสบตากับสาวไหน รับรองว่าสาวเจ้าต้องอ่อนระทวย แต่นับว่าผู้ชายสเปนเป็นพวกนิสัยออกจะทะลึ่งทะเล้นนิดๆ และชอบขี้เล่น หนุ่มๆ สเปนมักไม่ค่อยเครียด ชอบความสนุกสนาน ร่าเริง เฮฮาปารืตี้ เอ็นจอยกับชีวิตไปเรื่อย เลยอาจทำให้ดูเหมือนพวกรักสนุกไปวันๆ ไม่จริงจังกับชีวิต แต่เอาเข้าจริงเขาก็เอาการเอางานเป็นที่หนึ่งเหมือนกัน 

Mario Casas
หนุ่ม สเปนมีนิสัยเป็นกันเอง ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมให้เสียอารมณ์ ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ เป็นคนง่ายๆ สบายๆ แบบเบิร์ด แต่ข้อเสียคือพี่แกเจ้าชู้ใช่เล่น อาจเรียกได้ว่าเป็นนักรักตัวยงไม่แพ้หนุ่มไทยเลยทีเดียว แต่ก็เฉพาะก่อนแต่งงานเท่านั้นนะ พอแต่งงานไปแล้วก็ไม่มีตุกติกกุ๊กกิ๊กอะไรให้ต้องระแวงระวัง นอกจากนั้นหนุ่มสเปนยังเคร่งศาสนามาก มากกว่าชาติอื่นๆ ในยุโรป ซึ่งส่วนใหญ่จะนับถือนิกายคาทอลิกเป็นหลัก ด้วยความที่เป็นคนเคร่งศาสนาจึงส่งผล(ดี) ให้หนุ่มๆ ชาวสเปนไม่ค่อยทำตัวเหลวไหล ออกนอกกรอบ ไม่กล้าออกนอกลู่นอกทาง รักครอบครัว รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ต่อภรรยา เมื่อเป็นเช่นนี้หนุ่มสเปนจึงไม่ค่อยกล้าแอบเหล่สาวๆ เท่าใดนัก เพราะกลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้นะเซ่!!(เพราะไม่อยากเป็นบาป)

ซึ่ง ถ้าสาวไทยเกิดสนใจหนุ่มสเปนตาคมขึ้นละก็ คุณต้องพยายามมากสักหน่อย เหนื่อยก่อนแต่งงานนี่แหละที่ต้องทำให้เขาหยุดหัวใจไว้ที่คุณให้ได้ แต่ในเมื่อหญิงไทยอย่างเรามีดีซะอย่างจะกลัวอาร้าย...จริงม้า

หนุ่มอิตาลี
เมื่อ เอ่ยถึงประเทศอิตาลี จะนึกถึงอะไรถ้าไม่ใช่สปาเก็ตตี้ ไวน์ หรือผู้ชายหล่อๆ (อันหลังนะสำคัญสุด) ซึ่งเหล่าอิสตรีทั้งแท้และเทียมต่างหลงใหลใฝ่ปองกันมาก ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหนก็ตา

นิสัยชาวอิตาเลี่ยนก็เรียกว่าปนๆ กันไป คนดีมีเยอะ คนเลวก็แยะไม่แพ้กัน หนุ่มอิตาเลี่ยนมักเป็นพวกจริงจัง มุ่งมั่นขยันขันแข็ง และถ้าศึกษานิสัยให้ดีแล้วจะรู้ว่านิสัยใจคอของชาวอิตาเลี่ยนนั้นดีมาก คุยตลก สนุกสนาน เป็นกันเอง พูดจาเสียงดัง คุยกันทีเหมือนจะทะเลาะกัน...แต่เปล่า นั่นแหละที่เขาเรียกว่าคุย แล้วเวลาคุยหนุ่มๆอิตาลีมักจะใช้มือประกอบลีลาเวลาพูดคุย จนมีคำพูดว่า ถ้าเอาเชือกผูกมือไว้แนบกับลำตัว คนอิตาลีจะพูดไม่ออกแน่ๆ

Dylan and Cole Sprouse
คน อิตาลีจะเน้นเรื่องการกิน อยู่ หลับ นอน เป็นหลัก เพราะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตที่จะละเลยไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร เขาจะพิถีพิถันเน้นเป็นพิเศษ ถึงหนุ่มอิตาลีจะหน้าตาเข้มข้นหวานมัน แต่เขาก็ไม่ค่อยชอบอาหารรสหวานเท่าไรนัก ส่วนเรื่องที่หลับที่นอนก็ไม่แพ้กัน ต้องสะดวก สะอาด สบาย อย่าให้มีจิ้งจกตุ๊กแกเชียว เพราะพี่แกกลัวขึ้นสมอง ซึ่งก็เข้าทางสาวไทยซึ่งเอาใจสารพัด ยิ่งสาวไทยที่มีฝีมือการทำครัวด้วยแล้ว นี่ก็สเป๊กพี่แกเลยทีเดียว

Fabio Cannavaro
และก็ไม่ต้องห่วงว่าหนุ่มอิตาลีจะทำแค่หล่อไปวันๆ พึ่งพาไม่ได้ เพราะเขามีการวางแผนการใช้จ่ายที่เป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ จะจ่ายเงินแต่ละทีต้องมีความรอบคอบ อย่างคำว่า จดก่อนจ่าย นี่ดูลงตัวกับคนอิตาเลี่ยเป็นอย่างยิ่ง 
และขณะเดียวกันหนุ่มอิตาเลี่ยนก็เป็นพวกขี้ระแวง ระแวงไปหมดกลัวว่าคนอื่นจะมาเอาเปรียบ มาโกง หรือมาหลอกลวง แต่เขาก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวสูงไม่แพ้หนุ่มยุโรปชาติใดด้วย กัน สำหรับเรื่องครอบครัว เขาถือว่าการสร้างครอบครัวเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้นคนอิตาเลี่ยนจึงไม่ค่อยเกื้อหนุนพ่อแม่ญาติทางฝ่ายภรรยาเท่าไหร่ อยู่แบบตัวใครตัวมัน และไม่ค่อยชอบให้ญาติทางฝ่ายภรรยาเข้ามายุ่งวุ่นวายด้วย

ติด ตรงที่หนุ่มๆอิตาเลี่ยนมักรักง่ายหน่ายเร็วนี่สิ จึงเกิดปัญหาการหย่าร้างสูงมากในบ้านเขา ซึ่งเขาก็พยายามมองหาสาวนอกประเทศดูบ้าง เผื่อจะรักกันได้ยาวนานขึ้น สาวไทยก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เขามองว่าถ้ามีเมียไทยเมื่อไหร่ถือเป็นความโก้ เก๋สุดๆ หนุ่มอิตาเลี่ยนส่วนใหญ่เลยนิยมหาเมียสาวไทยไว้ประดับบารมี และโชว์เพื่อนฝูง

หนุ่มเบลเยี่ยม
สุภาพ และเป็นมิตร คือคำนิยามที่เหมาะสมที่สุดของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ชาวเบลเยี่ยม (พูดภาษาฝรั่งเศส , เยอรมัน , ฮอลแลนด์) ถึงแม้หน้าตาของหนุ่มๆ ประเทศนี้ออกจะดูเคร่งขรึมไปสักหน่อย แต่ถ้าเดือดร้อน (จริงๆ) เขาก็พร้อมจะช่วยเหลือเต็มที่ ขัดกับใบหน้าอันนิ่งเฉยนั้นอย่างแรง ดังนั้นเราจึงอย่าตัดสินคนแค่เพียงภายนอก แม้ว่าหน้าตาเขาอาจดูไม่ค่อยเป็นมิตรนัก แต่ลึกๆแล้วเขาอาจเป็นคนมีน้ำใจ

Anthony Arandia
 ข้อดีของหนุ่มๆเบลเยี่ยมอื่นๆ ก็คือการมีอัธยาศัยดี ชอบผูกมิตรกับคนรอบข้าง และยินดีที่จะคุยกับเรา แค่เขารู้ว่าเราพยายามที่จะพูดให้เขาเข้าใจ เขาก็พร้อมที่จะรับฟังและแปลภาษามือภาษาไม้ที่เราส่งไปให้แล้ว ซึ่งนับว่านิสัยผู้ชายเบลเยี่ยมนั้นเปรียบเสมือนหนังสติ๊กที่สามารถยืดได้หด ได้ ยืดหยุ่นตามสถานการณ์จะพาไป 

 เรื่องความขยันเอาการเอางานก็ไม่แพ้ชาติไหนแน่ โดยเฉพาะเรื่องเกมส์การค้าขาย เขาก็ไม่เป็นสองรองใครอีกต่างหาก เคยมีคนพูดว่า นำนิสัยของคนยุโรปทุกชาติมายำรวมกันแล้วเป็นคนเบลเยี่ยมคนเดียว ดังนั้นพี่แกจึงมีความหลากหลายไม่น่าเบื่อ

หากเจอหนุ่มเบลเยี่ยมบางคนที่อาจไม่เป็นมิตรนักก็ต้องทำใจหน่อย เพราะเขาค่อนข้างระมัดระวังตัวตัวไม่น้อยเนื่องจากไม่อยากให้ใครมาหลอก ส่วนบางรายที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมจัดก็มี อย่างว่านะ เดี๋ยวนี้คนเราฉลาดขึ้น คำนึงถึงผลประโยชน์มากขึ้น บางทีเมืองที่น่ารัก สวยงาม เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเก่าแก่ และดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างเบลเยี่ยม ผู้คนบางส่วนก็ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก แต่ส่วนใหญ่จะน่ารักน่าคบ
 

 หนุ่มแคนาดา
Ryan Reynolds
แคนาดาเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เป็นเหมือนเบ้าหลอมของความหลากหลายชนชาติ แตกต่างวัฒนธรรม อันได้แก่ อังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศส ฯลฯ ดังนั้นสังคมของประเทศแคนาดาเลยมีส่วนผสมของชนชาติต่างๆ มากมายเต็มไปหมด ซึ่งแม้แต่คนแถบเอเชียเอง อย่างเช่น ฟิลิปปินส์ จีน อ่องกง อินเดีย หรือ ปากีสถาน ฯลฯ ก็เก็บข้าวของไปตั้งรกรากและทำงานที่แคนาดากันมากมาย
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเจาะจงได้แน่ชัดว่าหนุ่มหนุ่มๆ แคนาดา (พูดภาษาฝรั่งเศส , อังกฤษ) จะมีนิสัยยังไงกันแน่ ขึ้นอยู่กับว่าหนุ่มหน้ามนคนนั้นพำนักอาศัยใกล้ชิดฝั่งใดมากกว่า หรือต้องสังเกตว่าเขาซึมซับนิสัยของชนชาติอะไรมาไว้ในตัวมากที่สุด
ซึ่งถ้าได้นิสัยของผู้ชายอังกฤษมาเยอะละก็ แน่นอนเลยคือเป็นพวกหนุ่มมีฟอร์มจัด สุขุม ตระหนี่ จริงจังกับชีวิต หรือถ้าได้เชื้อหนุ่มฝรั่งเศสเสียส่วนใหญ่เค้าจะเป็นผู้ชายโรแมนติกไม่เบามี รสนิยมการกินอยู่ แต่งตัวที่ดีและถ้าแต่งงานกันไปเขาก็จะรักครอบครัวมากเลยทีเดียว
แม้ ลักษณะเหล่านี้จะไม่ใช่อุปนิสัยกำพืดแท้ๆ ของหนุ่มแคนาดา แต่ทว่ามันกลายเป็นเอกลักษณ์ของหนุ่มแคนาเดี้ยนไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าหากสาวๆ คนไหนเกิดประทับใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งชาติ อังกฤษ ฝรั่งเศส หรืออเมริกาขึ้นมา แล้วยังเลือกไม่ถูกว่าจะควงหนุ่มๆชาติไหนดี เอาเป็นว่าลองเลือกหนุ่มแคนาดาไว้พิจารณา ก็นับว่าได้ข้อดีถึงสาม....ในคนๆเดียวเชียวละ

หนุ่มสวิส
มีหนุ่มๆ สวิส (พูดภาษาฝรั่งเศส , เยอรมัน , อิตาลี , ภาษาตะกูลละติน) ไว้เป็นคู่ ก็เปรียบเสมือนมีนาฬิกาชั้นนำไว้ประดับกาย แต่จะได้หนุ่มแบบโรเลกซ์หรือไม่นั้น เรียกว่าตาดีได้ตาร้ายเสียจ้า 

Roger Federer
ปกติ แล้วพื้นฐานนิสัยของหนุ่มสวิส นั้นมักจะสนใจแต่เรื่องตัวเองเป็นหลัก ไม่ค่อยสนใจชาวบ้านชาวช่องว่าใครเป็นใครบ้าง และในขณะเดียวกันก็ไม่ค่อยอยากให้ใครมายุ่มย่ามในชีวิตส่วนตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนฝรั่งที่เค้านิยมอยู่แบบตัวใครตัวมันอยู่ แล้วไม่มีไปชะโงกชะแง้หรอกว่าบ้านคนอื่นเค้าตื่นกันกี่โมง กลับกี่โมง กลับกับใคร ฯลฯ ผิดกับคนไทยที่ชอบนักเชียว เมื่อเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร ไอ้พวกเรื่องเม้าท์แตกซุบซิบนินทา หรือเรื่องอิจฉาริษยาจึงไม่มีให้เห็นบ่อยนัก ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี
 

หนุ่ม สวิสส่วนมากมักประกอบอาชีพอิสระ ไม่ชอบเป็นลูกจ้างใคร แต่เป็นคนเจ้าระเบียบ ทำอะไรต้องมีระบบไปหมด เช่น เขาจะมีการวางแผนการใช้เงินแต่ละเดือนอย่างครบถ้วนมีกฎเกณฑ์ในการให้เงินเมีย คิดรวบยอดให้เสร็จสรรพว่าเมียควรใช้เท่าไหร่ และตัวเขาควรใช้เท่าไหร่ในแต่ละเดือน 

ส่วนเรื่องความรับผิดชอบครอบครัวไม่ต้องพูดถึง หากได้สามีเป็นหนุ่สสวิส แล้วละก็ห้าห่วงทนหายห่วง ไม่มีคำว่าขาดตกบกพร่อง เพราะเขาจะรับผิดชอบเลี้ยงดูครอบครัวเป็นอย่างดี ไม่ปล่อยให้ลูกเมียอดๆ อยากๆ หรือต้องขายขี้หน้าใคร เพราะขืนปล่อยแบบนั้น เขานั่นแหละจะขายขี้หน้าคนอื่นตายเลย 

แต่อย่าหวังว่าหนุ่มสวิสนั้นจะชอบอยู่แบบครอบครัวใหญ่ๆเหมือนคนไทย เช่น อยู่กับพ่อแม่ ปู่ย่า ตาทวด ญาติเมียเดินกันยั้วเยี้ย เขาเหมือนฝรั่งทั่วไปคือ ชอบครอบครัวเดี่ยวมากกว่า อยู่กันตามประสา พ่อแม่ลูกเท่านั้น เนื่องจากไม่ชอบความวุ่นวายเข้าไส้ ดังนั้นสาวไทยคนไหนที่หวังจะขนโครต เหง้าศักราชไปอยู่ร่วมบ้านกับสามีชาวสวิส แล้วละก็ คิดผิดคิดใหม่ได้นะน้อง เพราะคุณอาจจะได้อยู่กับญาติสมใจ ส่วนเขาก็ไปหาบ้านใหม่ที่สงบสุขอยู่แทน

หนุ่มสวีเดน 
ที่ผ่านมาในอดีต สาวไทยอาจต้องชอกช้ำระกำใจกับการคบหาหนุ่มสวีดิช เนื่องจากถูกกีดกันอย่างหนัก เพราะประเทศเขามองว่าผู้หญิงไทยเป็น ผู้หญิงอย่างว่าซะเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแต่งงานกับสาวไทยแล้วบางรายถึงกับถูกจับแยกห้องนอนกับสามี ถูกโขกสับสารพัด เพราะครอบครัวทางสามีไม่สนับสนุนให้คบกัน แต่เดี๋ยวนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้หญิงไทยเก่งขึ้น ค่านิยมเก่าๆ เหล่านั้นจึงแทบไม่เหลืออีกต่อไป สาวไทยทั้งหลายจึงเดินหน้าเฮฮาปาร์ตี้กันถ้วนหน้า
และ เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่นานๆ จะได้เจอหนุ่มต่างชาติที่นิสัยละม้ายคล้ายคนไทยมากที่สุด ประการแรกคือเรื่องครอบครัว ชาวสวีเดนนั้นจะยึดถือเรื่องครอบครัวเป็นหลักเหมือนคนไทย เนื่องด้วยเขาสืบทอดวัฒนธรรมนี้มาจากบรรพบุรุษ การดูแลครอบครัว รักเพื่อนพ้อง ญาติมิตรจึงเป็นเรื่องที่เขาไม่มองข้าม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเขาอาจจะไม่ได้เทคแคร์ดูแลพ่อแม่มากเท่า คนไทย หนุ่มสวีดิชเป็นพวกรักเมีย และแคร์ครอบครัวของเมียไม่น้อยเช่นกัน 

Joel Kinnaman
 ส่วนประการที่สองก็คือเรื่องความเจ้าชู้ เรียกได้ว่าหนุ่มสวีเดนเจ้าชู้พอๆ กับหนุ่มไทยไม่มีผิด หรือบางครั้งอาจมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นเฉพาะตอนหนุ่มๆ เท่านั้นแหละ ส่วนแก่ๆ นะไม่เท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีแรงจะซ่าแล้ว

ถือว่าคนสวีเดนเป็นชาวยุโรปที่ใช้ภาษาอังกฤษดีที่สุดพอๆกับชาวฮอลแลนด์ และเป็นคนชาติเดียวในยุโรปที่มีลักษณะนิสัยคล้ายคลึงกับชาวเอเชียมาก อย่างเช่น การอยู่รวมกันเป็นครอบครัว จึงไม่แปลกที่หนุ่มสวีดิชจะเข้าอกเข้าใจสาวไทยที่รักและเป็นห่วงครอบครัวของ ตนเป็นอย่างดี
 

หนุ่มฮอลันดา
Rafael van der Vaart
เป็นผู้ชายอีกประเทศหนึ่งที่ใส่ใจครอบครัว เขาจะมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวสูง ให้ความสำคัญกับลูกเมีย แต่เมียอาจไม่ได้สบายนั่งๆ นอนเหมือนอย่างที่คิด เพราะต้องช่วยกันทำมาหากินตามความเหมาะสม ถ้าไม่ทำงานนอกบ้านก็ต้องทำหน้าที่แม่บ้านที่ดีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดของชาวดัตช์คือ ความขี้เหนียว จะควักเงินทียากยิ่งกว่าถอดกางเกงเดินกลางสวนสาธารณซะอีก ดังนั้นถ้าคิดจะคบกับหนุ่มดัตช์แล้วละก็ ลืมไปได้เลยกระเป๋าหลุยส์วิคตองเป็นของขวัญวันเกิด

ส่วน นิสัยอื่นๆก็จะเหมือนๆ กับชาวยุโรปทั่วไปคือ เป็นคนมีน้ำใจ อัธยาสัยดีมีมนุษย์สัมพันธ์ แต่ระวังก็มีหนุ่มฮอลแลนด์บางคนก็ดูถูกสาวไทยไม่น้อยมองว่าที่สาวไทยอยากไป อยู่เมืองนอกเพราะหวังเกาะผัวกินและพอปีกกล้าขาแข็ง ก็บินไปหาผัวใหม่(อันนี้ผู้มีประสบการณ์เขาเล่ามาว่าอย่างนั้น)
เพราะ ฉะนั้นเราอาจจะเห็นว่า หนุ่มดัตช์บางคนที่มาเมืองไทยอาจไม่ค่อยสุภาพอย่างที่คิดไว้นัก เพราะเขาไม่รู้ว่าสาวไทยแต่ละคนเป็นแบบไหนและอยากบอกว่าหนุ่มดัตช์ที่มา เมืองไทย อาจมีรสนิยมที่แหวกแนวคือ ไม่ได้เจาะจงหาสาวไทยเป็นเท่านั้น แต่เพราะกระเทยไทยหัวใจสีชมพูก็ถูกใจเขาไม่ใช่น้อย หนุ่มๆ ชาวดัตช์จึงหวังที่จะได้กระเทยไทยไปทำมอสะระเอียด้วยเช่นกัน เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองเพศ
 

หนุ่มนอร์เวย์
หนุ่มนอเวย์เป็นประเทศหนึ่งในโลกที่น้ำแข็งปกคลุมตลอดทั้งปี ดังนั้นหนุ่มๆ แดนไวกิ้งทั้งหลายจึงจัดว่าเป็นคนเย็นชา ไร้อารมณ์ เหมือนสภาพบ้านเกิด แต่ผิดถนัด เย็นชาแต่ก็ใช่ว่าจะเฉยชา เฉยเมย แต่เพียงเพราะเขาไม่ชอบแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออ กมา แบบว่ารักนะแต่ไม่แสดงออกนะใช่เลย และถ้าว่างเมื่อไหร่หนุ่มๆนอร์เวย์ทั้งหลายก็จะออกไปสังสรรค์กั บเพื่อนฝูงกินเหล้าแก้หนาวกันซักหน่อย หรือบางทีก็แพ็คกระเป๋าออกตะลอนทัวร์ไปหาไออุ่นยังต่างประเทศ แบบแบกเป้ใบเดียวเที่ยวได้ทั่วโลก เขาจะชอบเป็นชีวิตจิตใจ 

Sondre Lerche
 เนื่องจากความรักสนุก ชอบการผจญภัย และชอบความท้าทายนั่นเองจึงอาจทำให้สาวๆมองว่าหนุ่มนอร์เวย์เจ้าชู้ แต่มันก็แค่นิดๆ หน่อยๆ เล็กน้อยมากตามมาตรฐานผู้ชายทั่วไป เช่น แค่มอง แค่คุยขำๆ เทียบไม่ได้กะหนุ่มไทยพันธุ์ไก่แจ้ เพราะเขาไม่ได้เจ้าชู้พระยาเทครัวเรียกพี่

นอกจากนั้นที่นอร์เวย์เขายังถือกันว่า หากหนุ่มๆชาวนอร์วีเจี้ยนตนไหนได้แต่งงานกับสาวไทย ถือเป็นความโชคดีสุดๆ เพราะสาวไทยสวย มีเสน่ห์ เป็นที่ต้องตาต้องใจของหนุ่มๆชาวนอร์วีเจี้ยนเป็นอันมาก ที่สำคัญคือเป็นแม่บ้านแม่เรือน เอาอกเอาใจสามีเก่ง ประมาณว่าไปทำงานหนาวๆ กลับมาเจอเมียช่างปรนนิบัติอย่างสาวไทยแค่เข้ามาบีบๆ นวดๆ ก็แทบหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
 หนุ่มเดนมาร์ก
หนุ่ม เดนส์แห่งฟาร์มโคนมเดนมาร์ก เป็นหนุ่มที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับสาวไทยก็อาจจะลำบากหน่อย แต่แม้ว่ารูปร่างจะต่างกันขนาดไหนเรื่องความสูงอาจมีปัญหาในแนวตั้ง แต่ไม่มีปัญหาในแนวนอน ..อิอิ 

David Owe

 ว่าไปแล้วผู้ชายเดนมาร์กเป็นพวกอารมณ์ดี มีความสุขตลอดเวลา จัดอยู่ในเกณฑ์ยิ้มง่าย ยิ้มอยู่นั่นแหละ และมีอารมณ์ขัน...ส่วนใหญ่จะรักสันติ หลีกเลี่ยงการปะทะหรือการเผชิญหน้า รักความสนุกสนาน เลยไม่ค่อยพลาดงานเฮอาปาร์ตี้เท่าไหร่ และที่สำคัญคือรักธรรมชาติมากๆ จนถือได้ว่าพี่แกเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตัวยงเลยทีเดียว

ซึ่งถ้าสาวไทยคนไหนกำลังคบหาดูใจกับหนุ่มเดนส์อยู่ การเอาอกเอาใจเขาก็ไมใช่เรื่องยากนัก เพราะเมืองไทยมีธรรมชาติสวยๆ เยอะ ทั้งทะเล น้ำตก ภูเขา ลองได้พากันไปเที่ยวสักครั้งหนึ่ง รับรองว่าต้องได้คะแนนหัวใจไปเพียบแน่
นอก จากนั้นหนุ่มเดนส์ยังควบคุมอารมณ์ได้ดี ไม่ค่อยมีประเภทตบจูบให้ขวัญผวา มีความเป็นสุภาพบุรุษสูงปรี๊ด ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาเปรียบผู้หญิงเหมือนหนุ่มๆแถวนี้ ยิ่งสาวๆที่พี่เดนส์แกปิ๊งดวยแล้ว เรียกว่าพี่แกทุ่มหมดใจ รักหมดชามเลยละ

หนุ่มอังกฤษ
ขึ้นชื่อว่าเมืองผู้ดีอังกฤษ หนุ่มอังกฤษจึงเป็นพวกผู้ดีสมชื่อ สุขุมนุ่มลึก ดูดีมีสกุล ไม่ค่อยทำตัวขี้เล่นให้เสียฟอร์มเป็นอันขาด ผู้ชายอังกฤษมักเป็นพวกซีเรียส จริงจังกับชีวิตมาก ดังนั้นบุคลิก แบบหนุ่มๆไทย คารมเป็นต่อรูปหล่อเป็นรองที่จะทำให้สาวๆ ขำกลิ้งจนระทวยนะไม่มีทางพบเห็นในหนุ่มอังกฤษนักหรอก สาวๆทั้งหลายมั่นใจได้เลยว่าหนุ่มอังกฤษจะไม่สำมะเลเทเมาเละเทะ ให้เห็นอย่างแน่นอน

Robert Pattinson
แต่ ถ้าหากโชคร้าย ก็อาจเจอหนุ่มอังกฤษหลายรายเป็นพวกเห็นแก่ตัวสุดๆ ชอบโชว์ออฟว่าตัวเองเป็นแฟมิลี่แมน หรือหัวหน้าครอบครัวในฝัน แต่ที่แท้มันก็แค่การสร้างภาพ หรือทำไปตามหน้าที่เท่านั้น เพราะในประเทศอังกฤษค่าครองชีพค่อนข้างสูง ทุกคนจึงต้องทำงานแข่งกับเวลากันหมด ดังนั้นหัวหน้าครอบครัวทั้งหลาย อาจไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกเมียเท่าที่ควร
 

ตระหนี่ มัธยัสถ์ ประหยัด ถึงขั้นขี้เหนียว คือคำจำกัดความของผู้ชายอังกฤษที่เหมาะสมที่สุด เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ เขาจะตระหนี่มาก ต้องคิดทุกครั้งทุกเรื่องที่จ่าย เมื่อคบกันแล้วพยายามอย่าหวังว่าเค้าจะซื้อของแพงๆ มาประเคนให้ และถ้าแต่งงานด้วยกันแล้วก็คงไม่สามารถฟุ้งเฟ้ออย่างฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบ วิคตอเรีย เบ็กแฮมอย่างแน่นอน

ฉะนั้น สาวๆที่แต่งงานกับหนุ่มอังกฤษจึงอาจไม่ได้เป็นคุณนายนั่งนับเงินดังที่คิด ไว้ ส่วนใหญ่แต่งงานแล้วต้องช่วยกันทำมาหากิน ที่โน่นคนอังกฤษจัดว่าเป็นเสือยิ้มยาก หน้าตาเลยดูเครียดตลอด หลักๆแล้วก็คงมาจากฟอร์มจ้ดนั่นแหละไม่มีอะไร และที่สำคัญหนุ่มๆ ชาตินี้จะนึกถึงตัวเองเป็นหลัก ไม่ค่อยนึกถึงระบบสถาบันครอบครัว เพราะประเทศเขาจะถนัดแบบต่างตนต่างอยู่ ตรงกันข้ามกับคนไทยที่รักและเอาใจใส่ครอบครัวพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง จนอบอุ่น (จนถึงร้อน) แต่ถ้าสาวไทยคิดจะเข้าหาหนุ่มอังกฤษนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพราะหนุ่มอังกฤษนั้นเป็นพวกเปิดใจ ก็แค่ยอมๆ ทนๆ กับฟอร์มเค้าหน่อยแล้วกัน


หนุ่มอเมริกัน  
มื่อ พูดถึงหนุ่มๆ อเมริกันคงต้องแยกเป็น 2 รุ่นคือ รุ่นเล็กกับรุ่นใหญ่(หมายถึงอายุนะอย่าคิดมาก) ถ้าเป็นหนุ่มวัยขบเผาะ พวกนี้จะชอบเที่ยวเตร่ครื้นเครงไปเรื่อย ทำตัวเหมือนไม่มีพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพราะไม่ค่อยสนใจครอบครัวเท่าที่ควร แต่ถ้าเป็นหนุ่มรุ่นใหญ่วัยทำงานตั้งแต่ 30ขึ้นไป พวกนี้จะเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น เพราะผ่านอะไรมาเยอะแล้ว เลยมักตั้งใจทำงานจนบางทีดูเหมือนว่าเคร่งเครียดเกินไป

Chris Evans
 แต่ที่เหมือนกันคือ อเมริกันชนเป็นพวกรักอิสระเสรีเหนือสิ่งอื่นใด ดังเทพีเสรีภาพประจำบ้านเกิดเค้านั่นแหละ และเนื่องอเมริกาเป็นประเทศที่มีเบ้าหลอมหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ ดังนั้นหนุ่มอเมริกันจึงมีนิสัยค่อนข้างหลากหลาย รวมทั้งประกอบอาชีพก็หลากหลายด้วยเช่นกัน คือทำได้หมดตั้งแต่สากกระเบือ ยันเรือหางยาว ชอบเฮฮาปาร์ตี้แบบเฮไหนเฮนั่น เป็นคนชอบเปิดเผย พูดตรง แต่ก็ไม่เคยลืมหน้าที่หัวหน้าครอบครัวที่ดี มีความรับผิดชอบสูง ตรงต่อเวลา อันนี้เป็นคุณสมบัติเด่นของพ่อหนุ่มผมทองอยู่แล้ว

ทว่า มีข้อเสียคือ หนุ่มมะกันทั้งหลายมักจะเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเองมั่นใจในตัวเองสูงมาก หรือที่เรียกว่า มีอีโก้(อย่าเรียกผิดเป็นอีโต้ละ) คิดว่าตัวเองมีดีกว่าคนอื่น จึงไม่ค่อยโอนอ่อนผ่อนตามอะไรง่ายๆ โดยอาจรวมถึงบรรดาภรรเมียของพวกเขาด้วย
 

แต่ถ้าถามว่าหนุ่มอเมริกันรัก เมียไหม...ขอตอบว่า มากกกก เขาก็รักเมียใช่ย่อย เพราะปกติผู้ชายอเมริกันมักประสบปัญหาการหย่าร้างสูงในประเทศเขา เนื่องจากผู้หญิงอเมริกันนั้นไม่ค่อยแยแสพวกผู้ชายเท่าไหร่ ชอบทำตัวแบบตัวใครตัวมัน ไม่ค่อยแคร์ และนิยมอยู่เป็นโสดกันมากขึ้น

เมื่ เป็นเช่นนี้หนุ่มอเมริกันจึงมักมองหาสาวๆจากนอกประเทศแทนยิ่งถ้าเป็นสาวๆในแถบเอเชีย เช่น ฟิลิปปินส์หรือไทยด้วยแล้วต่อมปิ๊งยิ่งทำงานใหญ่ ซึ่งพวกเขาถือว่าการได้เมียเป็นคนเอเชียนั้นเจ๋งสุดยอดแล้ว เป็นเรื่องที่น่าอิจฉาตาร้อน เพราะเขามองว่าผู้หญิงเอเชียนั้นมีความอดทน อ่อนโยน ปรนนิบัติสามีได้ดี แถมพ่อแม่สามีก็พลอยได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย และที่สำคัญการได้ภรรยาชาวเอเชียนั้นยังสามารถลดหย่อนภาษีได้อีกต่างหาก เรียกว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้มถ้ามีเมียเป็นสาวเอเชีย

หนุ่มออสซี่ 
ต้องบอก เลยว่าประเทศออสเตรเลียนั้นเป็นชาติแห่งการผสมผสานเพราะ เคยอยู่ในการปกครองของประเทศอื่นมาก่อน ฉะนั้นผู้ชายออสเตรเลีย จึงมีหลายเชื้อชาติ หลายบุคลิก หลายลักษณะนิสัยปนกันไป ไม่มีอะไรที่สามารถบ่งบอกความเป็นออสเตรเลียได้ชัดเจน
ดังนั้นหากพูดถึง นิสัยหนุ่มออสซี่แล้ว ก่อนอื่นคงต้องดูก่อนอื่นต้องดูก่อนว่าเค้าเป็นหนุ่มออสซี่เชื้อสายอะไรกัน แน่ ถ้าเป็นหนุ่มอิงลิชออสซี่ นิสัยก็จะเหมือนหนุ่มอังกฤษประมาณนั้น


Chris Hemsworth
 แต่ถ้าเป็นพวกอเมริกันออสซี่ ก็จะมีนิสัยละม้ายคล้ายอเมริกันเสียมากกว่า แต่รวมๆแล้วหนุ่มออสซี่จะมีนิสัยคล้ายหนุ่มอังกฤษมากที่สุด เด่นๆคือ ความตระหนี่ จะจ่ายเงินทีคิดแล้วคิดอีก แต่ข้อดีเค้าก็มีเหมือนกัน คือเป็นคนตั้งอกตั้งใจทำงาน ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักประกอบอาชีพนักธุรกิจเป็นหลัก ไม่ค่อยคิดมาก จนบางครั้งอาจดูไม่ค่อยแคร์ และเลยไปถึงไม่ค่อยแฟร์ด้วย
ตาม ปกติแล้วคนอเมริกันไม่ค่อยย้ายรกรากไปอยู่ออสเตรเลียมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นคนฮอลแลนด์ คนยุโรป ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ จีน หรือไทย ที่เข้าไปทำงานเสียส่วนมาก ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ต้องทำใจ และไม่ควรมองข้ามคือ คนออสเตรเลียไม่ค่อยเปิดใจยอมรับคนผิวเหลืองมากเท่าไหร่ ซึ่งเขาจะมีสมาคมต่อต้านคนผิวเหลืองโดยเฉพาะ สืบเนื่องมาจากคนในประเทศเขามองว่า ผู้หญิงไทยเป็นผู้หญิงอย่างว่า ไปซะหมด แต่จะมีการยอมรับในตัวบุคคลก็จะมีในวงแคบเท่านั้น แต่ก็มีหนุ่มออสซี่มากมายที่แต่งงานกับสาวไทยและได้อยู่กินกันอ ย่างมีความสุขก็มิใช่น้อย เพราะข้อดีที่เห็นได้ชัดของหนุ่มออสซี่คือ มีความรับผิดชอบต่อตัวเองและครอบครัวสูง มีความสามารถในการประกอบอาชีพ ทำมาหากินเก่ง และมีความเป็นลูกผู้ชายมาดแมน หล่อสุดหยุดโลก
 

จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
28 กันยายน 2012

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555

แนวความแบบคนยิวและแนวความคิดแบบชาวกรีก


ข้อมูลโดย Satun Aseembly of God 




  1.  คนยิวเชื่อว่าความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ส่วนชาวกรีกคิดว่าความรู้สำคัญที่สุด
  2. คนยิวเชื่อว่าความจริงเป็นรูปธรรมและทุกคนควรนำไปปฏิบัติ ส่วนชาวกรีกคิดว่าความจริงเป็นนามธรรมและเรื่องส่วนตัว
  3. คนยิวเชื่อว่าความจริงถูกเปิดเผยและรับรู้ได้อย่างต่อเนื่อง  ส่วนชาวกรีกคิดว่าการค้นพบครั้งแรกก็เปลี่ยนอะไรๆได้ยากเย็น
  4. คนยิวเชื่อว่าพระเจ้าเป็นแหล่งและผู้เปิดเผยปัญญาทั้งสิ้น  ส่วนชาวกรีกคิดว่าปัญญาถูกค้นพบด้วยตัวมนุษย์เอง
  5. คนยิวเชื่อว่าศรัทธาความเชื่อและการวางใจเป็นสิ่งจำเป็น  ส่วนชาวกรีกคิดว่าการพิสูจน์และประสบการณ์เชิงประจักษ์สำคัญ
  6. คนยิวเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง  ส่วนชาวกรีกเชื่อว่าต้องพิสูจน์ได้หรือไม่ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง
  7. คนยิวมุ่งที่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า “พระบิดา”  ส่วนชาวกรีกมุ่งรับรู้แค่พระลักษณะของพระเจ้าเท่านั้น
  8. คนยิวเชื่อว่าอาณาจักรของพระเจ้าเริ่มตั้งแต่บนโลกขณะนี้ ส่วนชาวกรีกคิดว่าไม่เกี่ยวกับชีวิตบนโลกใบนี้
  9. คนยิวเชื่อว่าชีวิตนิรันดร์เริ่มต้นเดี๋ยวนี้โดยมีสัมพันธภาพกับพระเจ้า ส่วนชาวกรีกคิดว่าชีวิตนิรันดร์เริ่มหลังจากตายไปแล้ว
  10. คนยิวมีการคบหาสมาคมกับผู้อื่น  ส่วนชาวกรีกมุ่งที่เรื่องส่วนตัว
  11. คน ยิวมีกระบวนการคิดที่ว่า ฉันต้องเรียนรู้ให้เพียงพอจึงจะตอบสนองและกระทำตาม  ส่วนชาวกรีกคิดว่า “ให้ฉันคิดและสัมผัสก่อน และถ้าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ ฉันจะสับสนและเคลื่อนต่อไปไม่ได้”
  12. คนยิวเห็นคุณค่าของข้อล้ำลึก  ส่วนชาวกรีกเห็นความสำคัญของข้อเท็จจริงและความรู้ ไม่พยายามรับรู้ข้อล้ำลึก
  13. คนยิวเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติและโลกที่มองไม่เห็น  ส่วนชาวกรีกเชื่อในสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้โดยประสาทสัมผัส
  14. คนยิวเชื่อในเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณ  ส่วนคนกรีกคิดว่ามันเป็นเรื่องงมงาย
  15. คนยิวเน้นการพึ่งพาอาศัยกัน  ส่วนชาวกรีกเป็นเอาแค่ตนเองพอใจ
  16. คนยิวทำตามในสิ่งพระอาจารย์ทำและเป็นเหมือนกับเขา  ส่วนชาวกรีกแค่รับรู้และไม่ต้องการเป็นเหมือนกับอาจารย์ของเขา

    จอมณรงธร (ตี๋)
    ประธานชมรมภาษาตะวันตก
    ปีการศึกษา 2555-56
    กลุ่ม "รวมบาป"
    27 กันยายน 2012
 

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

สังคมของคนเยอรมัน

 
  ข้อมูลจาก thaigoodview.com
 
 
                  นิสัยคนเยอรมันส่วนใหญ่ ไม่รับไมตรีจากใครง่ายๆ ให้ความเป็นกันเองกับคนอื่นยากและไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายๆ รู้จักกันในวันแรกบรรยากาศอาจจะดูจิดชืด แต่หากได้ร่วมงานกันสักระยะหนึ่ง จะได้เห็นถึงความมีน้ำใจ ความน่ารัก และความจริงใจของคนเยอรมัน ยิ่งคบกันนาน รู้จักกันนาน ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ของเขาค่อยๆประสาน แต่มั่นคงแข็งแรง และยาวนาน
                 คนเยอรมันให้ความสำคัญกับวันเกิดมาก  จำเป็นที่จะต้องไปร่วมงานอยู่เสมอ คนไหนฐานะดีหน่อยก็เลี้ยงแบบหรูหรา แต่อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด โดยมีการเชิญแขกระหว่างอาหารมื้อกลางวัน และไล่ยาว จนถึงมื้อกาแฟตอนบ่าย รายการอาหารก็มีแค่ไส้กรอกชนิดต่างๆ  ปลา กุ้ง ผักดอง เนยสารพัดชนิด นอกนั้นจะเป็นพวกเครื่องดื่ม คนไหนฐานะไม่ค่อยดี ก็เลี้ยงแค่กาแฟตอนบ่าย 
                 การนัดหมายของคนเยอรมันส่วนมากตรงเป๊ะ  เที่ยงตรงนั่งโต๊ะอาหาร บ่ายสามโมงดื่มกาแฟ บ่ายสี่โมงแขกลากลับบ้านกันแล้ว ไม่มีใครมาก่อนหรือมาทีหลัง ถ้าหากมีเหตุที่จะต้องมาทีหลัง จะต้องโทรบอกเจ้าภาพไว้ก่อน  ของขวัญที่เขามอบให้กันก็ธรรมดาๆ ส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้ การ์ด และหนังสือ

                วันแต่งงานของคนเยอรมัน เจ้าภาพจะเชิญเฉพาะเจาะจงผู้ที่สนิทด้วยเท่านั้น โดยปกติจะมีประมาณ 20 คน แขกที่คู่บ่าวสาวจะเชิญมาก็มีแค่พ่อแม่และพี่น้องของทั้งสองฝ่าย และต้องเป็นพี่น้องแท้ๆ ลูกพี่ลูกน้องหรือญาติที่ห่างๆ ส่วนมากจะส่งการ์ดเชิญไปบอก
 
งานศพของคนเยอรมัน แขกที่มางานศพนอกจากญาติมิตร และคนรู้จักกันธรรมดาแล้ว อาจมีคนอื่นๆ ที่เจ้าภาพไม่ได้เชิญ เช่นคนที่เคยร่วมงานกันมากับผู้ตาย เคยอยู่ใกล้กันมาก่อน เคยเรียนหนังสือรุ่นเดียวกัน หรืออาจเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักตัวตนของผู้ตาย แต่เกิดความเคารพนับถือในคุณงามความดีของผู้ตาย สรุปว่า ใครก็ได้ที่อยากจะไปร่วมงานศพงานในวาระสำคัญๆของคนเยอรมัน งานศพถือว่าเป็นวาระสำคัญมาก และเป็นงานที่มีคนไปร่วมงานมากที่สุด การน้บญาติของคนเยอรมัน เขานับกันแค่ห่างตัวไม่เกินศอกจริง ตัวอย่าง งานวันเกิด มีแค่ลูก 4 คน หลาน 7 คน และเหลนสายตรงอีก 6 คน นอกนั้นเพื่อนของเจ้าภาพอีก 2-3 คน ลูกพี่ลูกน้องหรือหลานเขย หลานสะใภ้ หรือพ่อแม่ รวมทั้งพี่ๆ น้องๆ ทางฝ่ายเขยสะใภ้ เขาไม่บอกไม่เชิญมาเลย เขานับเอาแค่นั้นเอง
             การให้ข้าวของอะไรก็แล้วแต่ จะต้องมีเทศกาล หรือวันสำคัญๆ เช่น วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน วันปีใหม่ และวันสำคัญอื่นๆ อยู่ๆจะนำข้าวของไปให้กันโดยไม่มีวาระสำคัญ ความหมายอาจเปลี่ยนไปได้ในทิศทางที่ไม่สวยงาม การไปเยี่ยมไปมาหาสู่กัน ก็ต้องมีการนัดหมายกันก่อน อยู่ๆจะโผล่หน้าไปโดยไม่บอก นอกจากจะไม่มีใครเขาทำกันแล้ว ยังถือเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอีกด้วย แม้แต่พ่อแม่ลูกจะไปหากันก็ต้องมีการนัดหมายก่อน
             คนเยอรมันส่วนใหญ่เป็นคนใจคอเข้มแข็ง ไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากผู้ใดง่ายๆ ยิ่งเป็นเรื่องหยิบยืมเงินทองด้วยแล้วล่ะก็ ยากนักที่คนเยอรมันจะทำกัน แม้แต่พ่อแม่ลูกกันที่แยกครอบครัวไปแล้ว เขายังไม่ค่อยจะพึ่งพากันเรื่องเงินทอง
            เรื่องที่น่าเอาแบบอย่าง สังคมเยอรมันเขาไม่ค่อยจะแข่งขันกันเรื่องความมั่งมี บ้านไหนฐานะดี หรือบ้านไหนยากจน ความแตกต่างกันมีไม่มาก เขาไม่ได้วัดมาตรฐานของคนที่ว่าคุณเรียนจบมาจาก  มหาวิทยาลัยไหน หรือเรียนจบอะไรมา แต่จะมองกันแค่ว่า คุณทำอะไรได้บ้าง และทำได้ดีเลวมากน้อยอย่างไร แค่ไหนเท่านั้น ปริญญาหรือวุฒิการศึกษาของเขามีค่าเท่ากันหมด ไม่ได้อยู่ที่ชื่อเสียงของสถาบัน
           คนเยอรมัน...ถึงแม้ว่าจะผ่นพ้นวันคืนอันแสนขมขื่นมานานแล้วก็ตามที แต่เขาก็กินอยู่อย่างประหยัด ไม่กินทิ้งกินขว้าง อาหารแต่ละมื้อเมื่อทำขึ้นมาแล้วต้องกินให้หมด กินมื้อเดียวไม่หมดก็เก็บใส่ตู้เย็น แช่แข็งไว้อุ่นกิน วันหลังได้อีก คนเยอรมันส่วนใหญ่มีวินัยในการใช้เงิน
 
จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
26 กันยายน 2012
 

 

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

รู้จักและเข้าใจคนรัสเซีย

 ข้อมูลจาก ภาณุภัค ผ่องอำพันธ์


ขอเริ่มจากเรื่องยิ้มมากหรือยิ้มน้อยของคนรัสเซียก่อนนะครับ มีผลวิจัยออกมาว่าถ้าเทียบอัตราของการยิ้มบ่อยครั้งระหว่างชาวยุโรปประเทศ อื่นๆ กับคนรัสเซียแล้ว คนรัสเซียยิ้มน้อยครั้งกว่าชาวยุโรปถึง 4 เท่าครับ (หมายความว่าถ้าในหนึ่งวันชาวยุโรปยิ้ม 4 ครั้งก็เท่ากับว่าคนรัสเซียจะยิ้มเพียงครั้งเดียว นี่ขนาดยังไม่เทียบคนไทยอย่างเราๆ นะครับ) มีสาเหตุอยู่หลายข้อครับที่มีผลให้คนรัสเซียยิ้มน้อยหรือไม่อยากจะยิ้ม อีกทั้งสภาพอากาศที่ค่อนข้างเยือกเย็นและขุ่นมัวอยู่เป็นส่วนใหญ่ทำให้ ผู้คนก็เลยดูหดหู่ไม่แจ่มใสไปด้วย 

 หรือว่าจะเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจสังคมความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยจะมั่นคงปลอดภัย เท่าไรนัก เนื่องจากประเทศประสบสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (หลังจากปี ค.ศ. 1991) งบประมาณของรัฐในการสนับสนุนด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุขหรือการแพทย์จึงลดลง ไม่เหมือนสมัยสหภาพโซเวียตที่รัฐมีการบริการทางสังคมที่ดีกว่าในปัจจุบัน ปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ทำให้สามีต้องจากบ้านมาทำงานในเมืองใหญ่ และปล่อยให้ภรรยาต้องอยู่บ้านในชนบท สามีก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำงานไม่มีเวลาจะได้กลับไปเจอครอบครัวที่ตนรัก สิ่งเหล่านี้จึงส่งผลต่อสภาพจิตใจลึกๆ ของชาวรัสเซียส่วนใหญ่ครับ นอกจากเรื่องสภาพทางสังคมแล้ว คนรัสเซียยังมีมุมมองที่มีต่อ “การยิ้ม” ในมุมมองของตนเองครับ พวกเขาเห็นว่าในการยิ้มแต่ละครั้งนั้นต้องมีเหตุผลที่สมควร คือต้องรู้สึกมาจากข้างใน ต้องมาจากการที่พวกเขารู้สึกรื่นรมย์ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งจริงๆ พวกเขาจะยิ้มให้กับเฉพาะพวกเพื่อนฝูงของเขาเท่านั้น เพราะการยิ้มให้กับคนแปลกหน้าถือเป็นการไม่ควรและแปลก พวกเขาจะมองการยิ้มให้กับคนแปลกหน้าไปในทางไม่ดีก่อนครับ อย่างเช่น ถ้ามีใครมองพวกเขาแล้วยิ้มให้โดยที่ไม่รู้จักกันพวกเขาอาจจะต้องรีบสำรวจตัวเองว่าลืมรูดซิปกางเกงหรือเปล่า กางเกงเลอะเพราะไปนั่งทับอะไรมาหรือไม่ และยิ่งถ้าผู้หญิงรัสเซียยิ้มให้ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นการทอดสะพานให้ก็ได้ครับ 

มีบ่อยครั้งครับที่คนรัสเซียจะหยิบยกการยิ้มของชาวอเมริกันมาพูดถึงในทางลบ อย่างที่ชาวอเมริกันพูดและปฏิบัติกันคือ “keep smiling” แต่ในสายตาคนรัสเซียแล้วพวกเขามองว่าเป็นการเสแสร้งและไม่จริงใจอย่างยิ่ง มีสำนวนและคำพังเพยรัสเซียมากมายครับที่กล่าวไว้เพื่อแสดงว่าการยิ้มพร่ำ เพื่อเป็นสิ่งที่ไม่ดีและไม่ควรกระทำ เช่น “Смех без причины – первый признак дурачины” – เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่ไร้เหตุผลเป็นสัญญาณแรกของความเขลา สำหรับคนรัสเซียแล้วการยิ้มไม่ได้เป็นตัวบอกถึงมารยาทหรือสมบัติผู้ดีใดๆ ทั้งสิ้น การแสดงความเป็นมิตรไมตรีของพวกเขาไม่ได้ผ่านทางการยิ้มครับ แต่พวกเขาจะแสดงออกทางสีหน้า แววตา น้ำเสียงที่ใช้ คำและประโยคที่ถูกเลือกมาพูดครับ คนที่จะมีโอกาสเห็นรอยยิ้มที่ไม่ต้องมาจากใจของคนรัสเซียมากที่สุดคือคุณหมอ ฟันของพวกเขาครับ... 


เท่าที่เล่ามาอาจดูเหมือนว่าคนรัสเซียจะดูน่ากลัวและไม่น่าคบสักเท่าไรนัก ใช่ไหมครับ แต่จริงๆแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรขนาดนั้น เพียงแค่เราต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติลักษณะของพวกเขาอย่างถูกต้องเสีย ก่อน คนรัสเซียจะเป็นกันเองกับคุณในการพบปะครั้งต่อๆ มาครับ และจะแสดงความเป็นมิตรมากขึ้น ถ้าเขาเจอคุณหลายครั้งมากขึ้น การพูดจาจะเป็นกันเองและสนุกสนานขึ้น แต่ในความเป็นกันเองของพวกเขาก็มีขอบเขตที่ต่างไปจากคนไทยอยู่ดีครับ คนรัสเซียส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อย “พูดเล่น” หรือ “แซว” กันเหมือนคนไทย 


ผู้ชายรัสเซียค่อนข้างจะให้เกียรติผู้หญิง จะไม่ค่อยพูดตลกคึกคะนองมากไป มักจะจริงจังตลอดเวลา สิ่งไหนทำได้ก็พูดว่าได้ ทำไม่ได้ ก็บอกว่าไม่ได้หรือไม่แน่ใจ เพราะถ้าเขาบอกว่าได้ แล้วทำไม่ได้ภายหลัง เขารู้สึกว่าไม่ได้รักษาคำพูด เขาจึงบอกว่าไม่ได้เอาไว้ก่อน แต่เมื่อไรที่พวกเขาสัญญาว่าจะทำแล้วล่ะก็ เชื่อได้เลยครับว่าเขาจะต้องทำให้สำเร็จแน่นอน พอพูดถึงลักษณะนิสัยในการให้เกียรติผู้หญิงของผู้ชายรัสเซียแล้ว ก็ขอเล่าต่อถึงแบบฉบับหรือสิ่งที่คนรัสเซียเรียกว่า “สุภาพบุรุษตัวจริง” เขาต้องทำกันอย่างไร
  1. สุภาพบุรุษตัวจริงควรจะช่วยเปิดประตูอันหนักอึ้งให้สุภาพสตรีเดินผ่านไปได้โดยง่าย
  2. สุภาพบุรุษตัวจริงควรจะเสนอความช่วยเหลือเมื่อเห็นสุภาพสตรีถือกระเป๋าเดินทาง หรือ สัมภาระหนักๆ
  3. สุภาพบุรุษตัวจริงควรจะยื่นมือไปรับมือของสุภาพสตรีในขณะที่เธอเหล่านั้นกำลังจะก้าวลงจากรถ หรือ เรือโดยสารทุกชนิด
  4. สุภาพบุรุษตัวจริงจะถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กๆ ให้เสียสละที่นั่งบนรถโดยสารให้แก่ คนชรา คนพิการ หญิงตั้งครรถ์ และ ผู้หญิงที่มีเด็กมาด้วย (บนรถไฟใต้ดินจะมีเสียงประกาศอัตโนมัติ ระหว่างสถานี เพื่อให้ผู้ที่มีน้ำใจและเป็นสุภาพชนเสียสละที่นั่งให้แก่บุคคลเหล่านี้)

     
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงระเบียบปฏิบัติบางข้อที่คนรัส เซียได้ถูกอบรมและถ่ายทอดเพื่อให้ปฏิบัติต่อๆ กันมา ซึ่งแน่นอนครับ ว่าไม่ใช่ทุกคนจะปฏิบัติ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการอบรมสั่งสอน และการตระหนักถึงความรับผิดชอบที่ควรจะมีต่อสังคม หรือถ้าพูดเป็นภาษาไทยง่ายๆ ในแบบของคนไทยก็คือ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นนั่นเอง... 

จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
25 กันยายน 2012






วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

คนฝรั่งเศส นิสัยอย่างนี้นี่เอง!

ข้อมูลจาก Dek-D.com

พี่เป้ เคยเขียนให้น้องๆ อ่าน แอบสังเกตว่า แนวที่น้องๆ จะชอบกันเป็นพิเศษจะเป็นประเภทเม้าท์นิสัยของคนต่างชาติ 5555 ก็ขอเอาใจกันอีกรอบด้วย "เม้าท์นิสัยคนฝรั่งเศส" ที่หลายคนเรียกร้องมาว่า หนูอยากอ่านๆๆๆ และวันนี้ก็จัดให้สมใจแล้วค่ะ! 

 
1. คนฝรั่งเศสรักภาษาของตัวเองมากกกกกก เพราะเค้าคิดว่าภาษาของเค้าเป็นภาษาที่เพราะที่สุดในโลก (แต่ก็เพราะจริงๆ แฮะ) ดังนั้นทำให้คนฝรั่งเศสไม่ค่อยนิยมเรียนภาษาอื่นๆ เพราะเทิดทูนภาษาฝรั่งเศสของตัวเองสุดๆ
    
แต่อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของภาษาอังกฤษก็ยังอุตส่าห์แผ่ขยายเข้ามาในฝรั่งเศส จนมีการใช้คำภาษาอังกฤษปะปนกับภาษาฝรั่งเศส รัฐบาลฝรั่งเศสจึงกลัวว่าภาษาฝรั่งเศสอาจจะเลือนหายไปได้ จึงพยายามอนุรักษ์ไว้ด้วยการออกกฎหมายบางฉบับ เพื่ออนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส โดยกำหนดให้ใช้คำจากภาษาฝรั่งเศสแท้ๆ ในโฆษณา ประกาศ และเอกสารราชการต่างๆ 

นอกจากนี้ยังกำหนดให้สถานีวิทยุทุกสถานี เปิดเพลงภาษาฝรั่งเศสอย่างน้อยร้อยละ 40 ของเพลงทั้งหมดที่เปิดในสถานีนั้นอีกด้วย


2. คนฝรั่งเศสไม่ได้หยิ่ง กรุณาอย่าเข้าใจผิด! ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากข้อแรกนั่นเองค่ะ คือคนฝรั่งเศสรักภาษาตัวเองมากจนไม่คิดจะเรียนภาษาอื่น ดังนั้นเวลาที่คนฝรั่งเศสเจอนักท่องเที่ยว ก็จะทำหน้านิ่ง(ค่อนข้างบึ้ง)ใส่ ก็เพราะว่าเค้าพูดภาษาอังกฤษได้น้อยหรืออาจจะพูดไม่ได้เลยค่ะ จึงทำหน้ายบึ้งใส่ไว้ก่อน อารมณ์ว่า อย่าเข้ามานะเฟ้ย ฉันฟังแกไม่ออกนะ ดังนั้นเลยทำให้คนชาติอื่นมักมองว่าคนฝรั่งเศสหยิ่งนั่นเองค่ะ


3. คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่รักสุนัขมากๆๆๆ ดังนั้นถ้าไปฝรั่งเศส สิ่งสำคัญที่ต้องระวังมากที่สุดก็คือกับดักหรืออุจจาระของน้องหมานั่นเอง แหะๆ แม้แต่ในห้างสรรพสินค้าและร้านอาหารส่วนมากก็อนุญาตให้นำสุนัขเข้าไปได้ด้วย (ใครแพ้ขนสุนัขอาจลำบากหน่อยนะคะ)
   
และที่สำคัญมากๆ เวลาที่เราไปทานอาหารในร้าน อย่าบอกเด็กเสิร์ฟเชียวนะคะว่า "ช่วยห่ออาหารที่เหลือกลับให้หน่อย จะเอาไปฝากหมาที่บ้าน" เพราะสุนัขที่ฝรั่งเศสไฮโซกว่านั้นคือไม่กินของเหลือค่ะ ต้องกินอาหารดีๆ ไม่ต่างจากคนเลย ดังนั้นการขอให้ช่วยห่อเศษอาหารกลับในร้านอาหารถือเป็นเรื่องไม่สุภาพทีเดียวค่ะ 
   
 4. คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่เคร่งครัดในกฎมากๆ (น่าจะมีผลมาจากที่ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงด้านกฎหมาย) แม้กระทั่งถ้าน้องๆ จะเอาของฝากไปให้เพื่อน ก็จะต้องเขียนจดหมายแนบและลงลายเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรเลยว่าฝากไปจริงๆ นะ ข้างในมีอะไร ฝากไว้ตอนกี่โมง คนฝรั่งเศสส่วนมากจะเคร่งครัดเรื่องแบบนี้มากๆ ค่ะ เพราะเค้ากลัวจะต้องรับผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำนั่นเอง 

             
5. หนังสือที่ฝรั่งเศสส่วนมากห้ามถ่ายเอกสาร! อย่างที่บอกไปในข้อ 4 ว่าคนฝรั่งเศสเคร่งครัดกฎมากๆ รวมถึงลิขสิทธิ์หนังสือด้วย หนังสือแทบทุกเล่มจะมีระบุเอาไว้ว่าห้ามถ่ายเอกสาร ถ้านำไปถ่ายถือว่ามีความผิด (แต่ส่วนมากที่ร้านถ่ายเอกสารก็ไม่รับถ่ายตั้งแต่แรกแล้วล่ะ) ดังนั้นถ้าใครมีโอกาสไปเรียนฝรั่งเศสแล้วเป็นพวกชอบถ่ายเอกสาร เย็บเป็นรายงาน แล้วนำมาส่งอาจารย์นี่เลิกคิดได้เลยค่ะ 5555 แต่ถ้าเกิดมีความจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องถ่ายเอกสาร ประมาณว่าหนังสือเล่มนี้หาซื้อไม่ได้อีกแล้วในโลก ก็สามารถติดต่อทางโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยให้ช่วยติดต่อไปยังสำนักพิมพ์ของ หนังสือนั้นเพื่อขอนำมาถ่ายเอกสารก็ได้ค่ะ (แน่นอนว่าต้องเสียเงิน)

6. คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่อ่อนโยนและใส่ใจห่วงใยต่อความรู้สึกของคนอื่นมาก  ถ้า ใครได้มีโอกาสเป็นเพื่อนกับคนฝรั่งเศสล่ะก็ รับรองว่ามักจะถูกถามบ่อยๆ เลยว่า หิวมั้ย อยากกินอะไรรึเปล่า เมื่อยตรงไหนมั้ย พอใจหรือยัง เนื่องจากเค้ากลัวว่าจะดูแลเราไม่ดีนั่นเองค่ะ จึงมักถามและใส่ใจเราอยู่เสมอว่าเรายังขาดเหลือหรือต้องการอะไรเพิ่มอีกมั้ย

           
               นั่นก็คือนิสัยโดยทั่วไปของคนฝรั่งเศสนั่นเองค่ะ หวังว่าคงจะถูกใจน้องๆ ไม่มากก็น้อยเนาะ ^^   แล้วไว้เจอพี่เป้ กันใหม่นะคะ


จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
24 กันยายน 2012

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

"คนโปรตุเกส" มีดีกว่าที่คิด!

  ข้อมูลจาก Dek-D.com

พี่เป้  เชื่อว่าน้องๆ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อประเทศนี้ แต่น้อยคนที่จะรู้จักจริงๆ ว่าโปรตุเกสมีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้เราไปทำความรู้จักประเทศโปรตุเกสผ่านประสบการณ์เด็ก AFS กันดีกว่าค่ะ 
 
"ประเทศโปรตุเกส" เป็น ประเทศเล็กๆ มีประชากร ราวๆ 10 ล้านคน ตั้งอยู่ที่ทวีปยุโรปนะคะ โดยทิศเหนือและทิศตะวันตกติดประเทศสเปนค่ะ ส่วนทิศตะวันออกและทิศใต้ติดมหาสมุทรแอตแลนติกค่ะ ที่นี่ใช้ภาษาโปรตุเกสเป็นภาษาประจำชาตินะคะ มีภาษาของตนเองนะคะ (บางคนเข้าใจว่าพูดสเปนกัน) คนโปรตุเกสเป็นคนน่ารัก อัธยาศัยดีค่ะ ผูกมิตรง่าย ที่นี่ในหน้าร้อนจะไม่ร้อนจัด และหน้าหนาวก็จะไม่หนาวจัด เพราะเป็นประเทศติดมหาสมุทร อากาศจึงสบายๆ ชิลๆ ค่ะ คนโปรตุเกสเป็นคนใช้ชีวิตเรียบง่าย สบายๆ ไม่ฟุ่มเฟือย โดยส่วนใหญ่จะทำกสิกรรมหรือประมง คนโปรตุเกสให้ความสำคัญกับครอบครัวมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะเทศกาลสำคัญ ญาติๆ จะมารวมตัวกันเหมือนสงกรานต์ที่เมืองไทยค่ะ และสิ่งที่แตกต่างจากเมืองไทยมากๆ ก็คือ ถึงประเทศนี้จะติดมหาสมุทรแต่ไม่มีต้นมะพร้าวนะคะ แถมน้ำทะเลที่นี่ยังเย็นกว่าปกติอีกด้วย


      หลายๆ คนอาจสงสัยว่าคนโปรตุเกสเค้ากินอะไรกันบ้าง คนที่นี่นิยมทานขนมปัง , ซีเรียล นอกจากนั้นก็เป็นซุป สลัด สปาเก็ตตี้ พาสต้าต่าง ๆ รวมถึงข้าว ส่วนอาหารประจำชาติคือ Bacalhau” (บากัลเยา) หรือปลาคอร์ดนั่นเอง คนที่นี่นิยมทานของหวานๆ
 มากๆ เลยค่ะ (จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเป็นต้นกำเนิดขนมหวานในบ้านเรา 555) 


ดังนั้นเราจะสังเกตได้เลยว่า ที่โปรตุเกสมีร้านกาแฟเยอะมากๆ เลยค่ะ
    
ส่วนเมืองที่แจงได้ไปอยู่ ชื่อเมือง Sines ค่ะ อยู่ทางภาคกลางตอนล่างของประเทศค่ะ เป็นเมืองท่าเล็กๆ ไม่มีห้างสรรพสินค้าเลย เงียบและสงบมากๆ ค่ะ แจงได้ไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์หรือโฮสท์แฟมิลี่ 2 ครอบครัวค่ะ ครอบครัวแรกเป็นเหมือน welcome host เป็นเจ้าหน้าที่ของ  AFS

แจงอยู่กับเค้าประมาณ 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็ได้ครอบครัวอุปถัมถ์ที่ดวงสมพงษ์กับแจงซะที
              ส่วนกิจกรรมวันว่างในเสาร์อาทิตย์ สำหรับคนที่อยู่ในเมืองแล้วก็อาจจะออกไปเดินเที่ยวตามห้าง แต่สำหรับแจงซึ่งอยู่ในเมืองที่ไม่มีห้าง กิจกรรม ที่ทำคือการเก็บส้ม ช่วยโฮสท์ปลูกผักเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็สิ่งที่แจงชอบมากที่สุดคือการได้ทำขนมเค้ก คุกกี้ รวมถึงขนมปังในทุกๆ เสาร์ อาทิตย์ค่ะ ซึ่งวัตถุดิบก็เก็บมาจากที่ปลูกๆ กันในรั้วบ้านนี่แหละค่ะ สนุกมากๆ ^^ ดังนั้นผลพลอยได้ก็คือน้ำหนักขึ้นเกือบ 10 กิโลเลยค่ะ 555


             ส่วนเรื่องโรงเรียนก็สบายๆ ค่ะ ในโรงเรียนมีประมาณ 300 คน แจงไปเรียนเกรด 11 หรือ ม.5 เรียนสายวิทย์ด้วยค่ะ แต่ว่าเรียนวิชาปรัชญาเพิ่มมาด้วย แต่ว่าทุกอย่างเรียนเป็นภาษาโปรตุเกสหมดเลยค่ะ!!! แถมยังเรียนคาบละ 90 นาที ในห้องเรียนมีสมาชิกอยู่ 23 คนค่ะ ทุกคนสนิทกันมากๆ เค้าดูแลและให้ความช่วยเหลือแจงดีมากๆ เลยค่ะ อาจารย์ทุกคนก็น่ารักมากๆ เลย

             และแน่นอนว่าในเมื่อมาที่โปรตุเกส ต้นกำเนิดของฝอยทองแล้ว จะไม่ตามหาฝอยทองก็คงจะไม่ได้ใช่มั้ยคะ 5555 ซึ่งต้นกำเนิดของฝอยทองโปรตุเกสอยู่ที่เมือง Aveiro ซึ่งอยู่ทางเหนือๆ หน่อยค่ะ ในเมื่อภารกิจที่สำคัญคือการตามหาฝอยทอง!! ในที่สุดแจงก็เจอฝอยทองค่ะ!!! แต่ ว่าไม่ได้อร่อยเหมือนเมืองไทยนะคะ ที่นี่ทำค่อนข้างแข็งและไม่ค่อยหวานค่ะ และที่สำคัญเค้าจะทำในช่วงเทศกาลสำคัญๆ เท่านั้นค่ะ ไม่ได้หากินง่ายๆ ตามตลาดเหมือนบ้านเรา ซึ่งที่แจงไปหาเจอนั้นก็เจอในร้านกาแฟค่ะ เค้าทำฝอยทองแล้วเอามาแต่งขนม ซึ่งจริงๆ ก็มีฝอยทองแยกขายเป็นกระปุก กระปุกละ 5 ยูโรหรือ 200 กว่าบาทแน่ะค่ะ


              มองเผินๆ ชีวิตนักเรียนแลกเปลี่ยนของแจงอาจจะดูเหมือนราบรื่นดี แต่ว่าไม่ใช่ว่าแจงจะไม่มีปัญหากับโฮสท์นะคะ ด้วยความที่แจงกับน้องสาวไปเรียนด้วยกัน นั่งเรียนติดกัน เจอหน้ากันทุกวัน จนมีอยู่ช่วงหนึ่ง เกิดอาการเบื่อหน้า ไม่ยอมคุยกับน้องสาว จนแม่สังเกตได้ เค้าเลยถามว่า “ถ้าไม่อยากอยู่ครอบครัวนี้ ก็เปลี่ยนครอบครัวได้เลย เค้าไม่ได้บังคับ” แจง ถึงกับอึ้งเลยค่ะ จากนั้นก็เหมือนเราทั้งสองฝ่ายจะเริ่มรู้ตัวว่า คงถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องปรับตัวเข้าหากัน จะได้อยู่ด้วยกันได้ ทำให้หลังจากนั้น ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ


              การไปแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ทำให้แจงได้ประสบการณ์ใหม่ๆ กลับมา แจงรู้สึกโชคดีมากที่ได้ไปประเทศนี้ ประเทศโปรตุเกสเปรียบเสมือนบ้านอีกหลังของแจงเลยค่ะ  สำหรับน้องๆ ที่อยากไปแลกเปลี่ยนและกำลังคิดอยู่ว่าจะเลือกประเทศไหนดี แจงขอสนับสนุนโปรตุเกสเลยค่ะ ประเทศที่หลายคนอาจจะไม่รู้จักแต่มีอะไรที่น่าค้นหาเยอะมากๆ รับรองว่าคุ้มแน่นอนค่ะ

              โอ้โห อ่านแล้วรู้สึกได้เลยว่าชีวิตคนโปรตุเกสนี่เค้าดูสงบราบเรียบชิลๆ กันดีจังเลยนะคะเนี่ย ดังนั้นถ้าน้องๆ คนไหนชอบบรรยากาศแบบชิลๆ สงบๆ ธรรมชาติบริสุทธิ์ล่ะก็ โปรตุเกสก็เป็นอีกทางเลือกที่ไม่ควรพลาด ^^ 

จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
23 กันยายน 2012

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

7 นิสัยน่ารู้ของคนสเปน

 ข้อมูลจาก dek-d.com

พี่เป้ ขอเอาใจแฟนๆ ของสเปนหน่อยดีกว่า ด้วยเรื่องราววัฒนธรรมต่างประเทศที่น่ารู้จากสเปน กับ "7 นิสัยน่ารู้ของคนสเปน" ที่จะทำให้น้องๆ ได้รู้จักคนสเปนมากขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ คอนเฟิร์มมาแล้วจากผู้รู้ที่อยู่สเปนมานานกว่า 5 ปี !

            
1. คนสเปนโดยส่วนมากแล้ว เป็นชาติที่ค่อนข้างจะเข้ากับคนอื่นยากมากๆ พวกเขาไม่ใช่ชาติที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีนัก (ต่างกับคนไทย) ดังนั้นถ้าใครอยากจะสนิทแบบเปิดใจกับคนสเปนจริงๆ ล่ะก็ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยนะคะ แต่รับรองเถอะว่า ถ้าได้สนิทชิดเชื้อเป็นเพื่อนซี้กับคนสเปนแล้วล่ะก็ นั่นคือสิ่งที่วิเศษมากที่สุดสิ่งหนึ่งเลยล่ะค่ะ เพราะคนสเปนจะรักและจริงใจกับเพื่อนคนนั้นๆ ไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว
             
2. คนสเปนรักการปาร์ตี้มากกกกกกกกกกกกกถึงมากที่สุดในโลก ขอให้ได้รับการ์ดเชิญว่ามีปาร์ตี้เถอะ ไม่ว่าจะฝ่าฝนฝ่าแดดฝ่าแผ่นดินไหว คนสเปนก็ไม่หวั่นที่จะออกไปร่วมแจมในงานปาร์ตี้ค่ะ ยกตัวอย่างเช่น การเที่ยวกลางคืนของวัยรุ่นสเปน ในคืนหนึ่งๆ พวกเขาจะไม่เที่ยวกันแค่ที่เดียวหรอกนะคะ แต่จะเข้าออกผับนั้นบาร์นี้เป็นสิบๆ ที่ในคืนเดียว อารมณ์สุดเหวี่ยงกันสุดๆ นอกจากนี้ ยังส่งผลต่อเนื่องมาให้คนสเปนเป็นชาติที่พูดคุยเสียงดังมากๆ เวลาคุยกันนี่แบบ...ข้ารู้ โลกต้องรู้ 555+  


3. คนสเปนดูดบุหรี่หนักมากๆ แทบจะทุกพื้นที่ของคนสเปน เราจะต้องได้พบเห็นคนสูบบุหรี่อย่างแน่นอน แม้แต่ในร้านอาหาร ผับ บาร์บางที่ก็อนุญาตให้สูบบุหรี่ได้ ดังนั้นถ้าใครแพ้ควันบุหรี่ รับรองเที่ยวสเปนไม่สนุกแน่ๆ  แล้วอีกอย่างที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ผู้หญิงสเปนสูบบุหรี่จัดกว่าผู้ชายอีกค่ะหรือเรียกว่าสูบเอาโล่ห์ก็ว่าได้
             
4. อย่าคิดว่ามีแต่ประเทศไทยที่มีระบบราชการที่ช้า สเปนก็ไม่แพ้กันค่ะ ระบบราชการของสเปนเป็นอะไรที่ทำงานช้ามากๆ บางที่ยังทำงานกันแบบกระดาษต่อกระดาษ เขียนมือกันสดๆ ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นถ้าน้องๆ คนไหนมีโอกาสไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่สเปนและต้องทำธุระกับทางราชการล่ะ ก็ ขอให้ทำใจกันไว้ก่อนเลยค่ะว่ามันช้าจริงๆ

5. คนสเปนไม่ชอบทำตามกฏใดๆ ทั้งนั้น นิสัยแหกกฏเป็น
 เรื่องปกติ เพราะบางคนจะคิดว่า ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ค่อยรอวัน
 พรุ่งนี้เอาก็ได้ ดังนั้นคนสเปนจึงมีคำพูดติดปากที่ว่า MAÑANA  (อ่านว่า มันยาน่า) แปลว่าวันพรุ่งนี้ จะใช้พูดกันติดปากเวลาที่
 เบื่อหรือเหนื่อยหน่ายที่จะทำอะไร ประมาณว่า เอาไว้ก่อน ไว้พรุ่งนี้
 ค่อยทำก็ได้ (และวันพรุ่งนี้ก็ไม่เคยมาถึง 555+)

 
    
6. หลังจากทานอาหารหมดจานแล้ว คนสเปนจะชอบเอาขนมปังมาถูจานนั้นจนเกลี้ยง และทานขนมปังนั้นตามเข้าไปทีหลัง ฟังแบบนี้เราอาจจะรู้สึกแปลกๆ ว่าจะแหยะๆ มั้ย แต่ร้อยทั้ง
 ร้อยที่ลองทำตามต่างก็บอกว่า ขนมปังที่เอาไปถูจานนั้นอร่อยมากๆ เลยแหละ (ใครไปลองแล้วมาบอกด้วยนะว่าอร่อยจริงมั้ย
 ฮ่าๆ)

7. และข้อสุดท้าย สเปนก็มีการแบ่งแยกดินแดนเหมือนกัน ! ซึ่งเหตุการณ์แบ่งแยกดินแดนนี้เกิดขึ้นที่แคว้น Cataluña (อ่านว่ากาตาลุนญ่า .... น้องๆ รู้จักเมืองบาร์เซโลน่าใช่มั้ย ? เมืองบาร์เซโลน่าเป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้แหละค่ะ) และแคว้น País Vasco (อ่านว่าปาอีส บาสโก้) 

 
             
สำหรับเหตุการณ์แบ่งแยกดินแดนที่เกิดขึ้นนั้นก็เช่น .... ที่แคว้น Cataluña ซึ่งนับว่าเป็นแคว้นที่รวยมากๆๆ ของสเปน เพราะหากคำนวณภาษีของสเปนทั้งประเทศแล้ว กว่าครึ่งของภาษีที่นั้นได้มาจากแคว้น Cataluña กันเลยทีเดียว (รวยจริงๆ) ดังนั้นคนในแคว้นนี้จึงคิดว่า มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าพวกเขาแบ่งแยกไปปกครองกันเอง รวมถึงเงินภาษีจำนวนมากที่เสียภาษีไปให้รัฐบาลกลางนั้น สู้เอามาพัฒนาแคว้นตัวเองอย่างเดียวไม่ดีกว่าเหรอ ? และนอกจากนี้ ในแคว้น Cataluña ก็ยังมีภาษาถิ่นของตัวเองอีกด้วยซึ่งก็คือภาษากาตาลัน ดังนั้นคนในแคว้นนี้จึงสามารถพูดได้ทั้งภาษาสเปนและภาษากาตาลันเลยทีเดียว 

    
ส่วน ในแคว้น País Vasco นั้น พวกแบ่งแยกดินแดนก็จะมีการก่อร้ายคล้ายๆ กับที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้านเรานี่แหละค่ะ แต่ส่วนมากจะเข้ามาก่อการร้ายในเมืองใหญ่ๆ มากกว่า ไม่ทำในพื้นที่ของตัวเอง (ซวยเมืองอื่นซะงั้น)
         
     
เอา ล่ะค่ะ นั่นก็คือ 7 นิสัยน่ารู้ของคนสเปนที่จะทำให้น้องๆ ได้รู้จักกับคนสเปนและประเทศสเปนให้มากขึ้น รวมถึงต้องติดตามกันต่อไปว่าในอนาคตจะมีประเทศกาตาลุนญ่าและประเทศปาอีส บาสโก้เกิดขึ้นในโลกมั้ย ?  = ="  งั้นวันนี้ พี่เป้ ขอตัวลาไปก่อนล่ะค่ะ 

จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
22 กันยายน 2012