หนู เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ฟันแทะ ขนาดเล็ก ออกลูกคราวละมากมาย เมื่อพูดถึงมัน ก็มีความเห็นหลากหลาย บางคนก็ว่ามันเป็นพาหะนำโรคบ้าง เป็นสัตว์ทดลองบ้าง เป็นสัตว์เลี้ยงที่ดูน่ารักน่าเอ็นดูบ้าง แต่คราวเราลองมาดูกันว่า หนูในภาษาตะวันตกพูดว่าอะไรกันบ้าง
ภาษาสเปน Ratón (ราโตน) หนูตัวผู้ , Rata (ร้าตะ) หนูตัวเมีย
ภาษาโปรตุเกส Rato (คราตู)
ภาษาอิตาลี Ratto (รัตโตะ)
ภาษาฝรั่งเศส Rat (ครา)
ภาษาเยอรมัน Ratte (รัทเทอะ)
ภาษารัสเซีย Крыса (กรือสะ)
ภาษากรีก Αρουραίος (อารูไรโอส)
ข้อมูลจาก kapook.com
มีความเชื่อว่า หนู แกสบี้ เริ่มอัพเลเวลจากสัตว์ป่ามาเป็นสัตว์เลี้ยงระหว่าง 9,000 และ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อชนชาวพื้นเมืองในอเมริกาใต้ คือพวกอินคา ใช้เนื้อของแกสบี้เป็นอาหาร โดยนำมาเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง เพื่อใช้ประกอบอาหาร และเพื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ต่อมาหนูแกสบี้ ก็ย้ายสำมะโนครัวไปยุโรปโดยชาวดัตช์มากว่า 300 ปีแล้ว และนับจากนั้นมาหนูแกสบี้ก็ถูกเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงและเป็นอาหาร มีการคัดเลือกพันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะสวยงาม และสีสันใหม่ ๆ เพื่อการประกวดมาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงระหว่างและหลังปี ค.ศ. 1600 หนูแกสบี้เป็นที่นิยมมากในเหล่าขุนนางและขนชั้นสูงของยุโรป แม้กระทั่งพระนางเจ้าเอลิชาเบธที่ 1 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ก็ยังทรงเลี้ยง ๆ ไว้ดูเล่น
ในราวศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษก็ได้อพยพเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา และได้นำเอาหนูแกสบี้ที่ได้เพาะพันธุ์และมีพัฒนาจนมีความสวยงาม ย้อนกลับเข้าไปในทวีปอเมริกาเหนือจนเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ มาจนปัจจุบัน โดยได้มีการจัดตั้งสมาคมของผู้เลี้ยงหนูแกสบี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1910 ที่รู้จักกันดีในนามของ สมาคมผู้เพาะพันธุ์หนูกินนี่พิกแห่งอเมริกา (American Cavy Breeders Association หรือ ACBA) ในปัจจุบันยังมีมาตรฐานทางยุโรปอีกที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายใน สมัยแรก ๆ แกสบี้มีลักษณะขนที่สั้นและหยาบ ในไทยคิดถึงหนูขวัญ หนูตะเภาบ้านเราในสมัยก่อนก็ได้ ที่ขนเส้นใหญ่และหยาบ เทียบได้กับไม้กวาดบ้าน แต่สมัยนี้ แม้แต่ขนหนูขวัญ และตะเภาก็นิ่มขึ้นแล้วนะคะ
บรีดเดอร์บ้านเราเอาแกสบี้ไปลงผสมค่ะ แต่จะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ไม่ทราบ แต่ปัจจุบันนี้ หนูขวัญและหนูตะเภา มีโครงสร้างที่ใหญ่มากขึ้น และสีสันสวยงามมากขึ้นไม่แพ้แกสบี้
แกสบี้ในสมัยแรก ๆ ก็มีขนเส้นใหญ่พอ ๆ ก็หนูขวัญบ้านเราเลยค่ะ แต่กาลเวลาที่ผ่านไปหลายร้อยปี ยีนมีการกลายพันธุ์ ทำให้เกิดยีนด้อยออกมาตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้หนูขนหยาบ ๆ ธรรมดากลายเป็นหนูขนไฟเบอร์งามวิ๊บวับขึ้นมาได้ในสมัยก่อนที่หลินจะเกิด หรือเกิดมาแล้ว แต่ตายแล้วเกิดใหม่มาเป็นทาสคุณหนูในชาตินี้ก็ไม่รู้ การที่ได้หนูซาตินแต่ละตัว เรียกได้ว่า หายากมาก ๆ ถือเป็นของแปลก ก็แน่ล่ะใครเห็นชาติตัวจริง รับรองเงาติดตากลับไปนอนฝันถึงเลยล่ะ การที่จะได้มาแต่ละตัวถือว่าฟลุกมาก และยังขาดองค์ความรู้ในการพัฒนาสายพันธุ์ให้ดีพอ
บรีดเดอร์สมัยก่อนโน่น คาดว่าก่อนเมนเดล บิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์ จะค้นพบเรื่องยีนเด่น ยีนด้อยมีความเชื่อว่า ต้องเอาซาตินผสมกับซาติน เท่านั้นถึงจะได้ซาติน ซึ่งที่จริงก็ไม่ผิดอะไร เพราะยีนซาตินเป็นยีนด้อย เมื่อนำยีนด้อยลงผสมด้วยกัน ก็ต้องได้ยีนด้อยเท่านั้น แต่ผลปรากฏว่า ลูกหนูซาตินที่ได้จากพ่อแม่ที่เป็นซาตินทั้งคู่มักได้ โครงสร้างที่เล็ก ตัวเล็ก และมันอายุไม่ยืน หรือสุขภาพไม่แข็งแรง จึงทำให้หนูตินไม่เป็นที่นิยมกันมากและทำได้ยาก เพราะผสมได้น้อย
สมัยใหม่กับองค์ความรู้ที่ได้พัฒนามา ทำให้รู้ว่า เราสามารถทำหนูขนซาตินได้จากการผสมหนูซาตินกับหนูขนธรรมดา ได้หนูลูกครึ่งที่เราเรียกว่า “สปริทย์ซาติน” ซึ่งโดยจะมีลักษณะขนนิ่ม เงางาม มากขึ้น และการนำหนูสปริทย์ไปลงผสมกับหนูซาติน หรือหนูสปริทย์ด้วยกันเอง ก็มีโอกาสได้ซาตินที่มีโครงสร้างและมีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น
จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
20 พฤศจิกายน 2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น