ข้อมูลโดย เปิดโลกวันอาทิตย์ : soudai@yahoo.com
คิวบา'2วรรณะกลมกลืน'
กลับมาจาก “คิวบา” หลายวันแล้ว แต่ความรู้สึกตื่นเต้นเมื่อก้าวเท้าแรกลงสู่ถนนกรุงฮาวานา ยังคงไม่ลืม....
ช่วงเวลาหลายสิบปีมานี้ ผู้เขียนโชคดีมีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวและทำงานในหลายประเทศทั่วโลก แต่ไม่มีที่ไหนทำให้หัวใจเต้นแรงได้เท่ากับเกาะคอมมิวนิสต์ในฝันแห่งนี้
ขณะกำลังสูดหายใจเอาบรรยากาศของเมืองหลวงเข้าไปลึกๆ หูก็ซึมซับเสียงดนตรีจังหวะเอกลักษณ์ของคิวบาเข้าไปพร้อมๆ กัน ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงดนตรี ทั้งจากวงสดที่เล่นตามร้านอาหาร หรือจากลำโพงร้านกาแฟ ร้านขายของ แม้กระทั่งในตลาดสดยังมีเสียงเพลงสนุกสนานเปิดกล่อมทุกเช้า... ผู้เขียนก้มหน้าโฟกัสกล้องถ่ายรูปไปยังผักผลไม้หน้าตาแปลกประหลาด แล้วจู่ๆ ก็มีแม่ค้าเข้ามาดึงมือให้ร่วมเต้นระบำจังหวะ “ซัลซาคิวบา” ด้วยกัน ผู้เขียนเลยต้องเต้นไปด้วย ซื้อผลไม้ไปด้วยความครื้นเครง
ชาวคิวบาเรียกตัวเองว่า "คิวบัน” ส่วนพวกเราหน้าเจ๊กผิวขาว เขามักทึกทักว่าเป็นพวก “ชิโน” ภาษาสเปนแปลว่า คนจีน ประเทศนี้แทบหาคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เนื่องจากเป็นเมืองขึ้นสเปนมานานกว่า 200 ปี เมื่อภาษาพูดใช้ไม่ได้ผล นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปคงต้องใช้ภาษากายกับภาษาใจเพื่อสื่อสาร 2 ชาติพันธุ์ที่แตกต่างให้กลมกลืน
เสน่ห์ของเมืองฮาวานา หรือออกเสียงให้ถูกก็คือ "อาบานา" อยู่ที่การพยายามเชื่อมโยงผู้คนจาก 2 ฟากฝั่ง หรือ 2 วรรณะ ให้เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ถนนหน้าเอล กาปิโตลิโอ (El Capitolio) หรือตึกรัฐสภาเก่า รูปทรงอาร์ตนูโว อายุเกือบ 100 ปี เปรียบเสมือนแนวกั้นเขตแดน ฝั่งหนึ่งหากเดินลึกเข้าไปตามถนนดิอาโกเนส (Dragones St.) เรื่อยๆ จะเห็นร้านขายของ ขายแซนด์วิช พิซซ่า และร้านขายเหล้าของคนท้องถิ่น รวมถึงห้องพักอาศัยที่แบ่งซอยอยู่บนตึกสูงสีส้ม ฟ้า เหลือง เขียว สามล้อถีบรับส่งคนส่งของขวักไขว่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของสีสันพื้นเมือง
ย้อนอดีตไป คิวบาเป็นเมืองขึ้นของสเปนต่อเนื่องยาวนานเกือบ 200 ปี จากนั้นโดนอเมริกาเข้ามาครอบครองต่ออีกกว่า 20 ปี ก่อนที่กองทัพกู้ชาติ นำโดย “เช กูวารา” และ “ฟิเดล คาสโตร” จะมาขับไล่ออกไปจากเกาะและปฏิวัติให้เป็นประเทศคอมมิวนิสต์เต็มรูปแบบเมื่อ ปี พ.ศ.2502 เปรียบเทียบพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1 แสน ตร.กม.แล้ว ถือว่าเล็กกว่าไทยเกือบ 5 เท่า แบ่งการปกครองเป็น 14 จังหวัดบวก 1 เขตปกครองพิเศษ ประชากรปัจจุบัน 11 ล้านคน
ไลฟ์สไตล์ของคิวบันดูเหมือนจะน่าอิจฉา ไม่ต้องทำงานก็มีคูปองแจกอาหารฟรี แต่เบื้องลึกแล้วพวกเขาอยากได้มากกว่านั้น โดยเฉพาะโอกาสในการเข้าไปมีส่วนร่วมอิสระในโลกไฮเทคหรือสังคมออนไลน์ รัฐบาลคอมมิวนิสต์ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นงูพิษร้ายที่ต้องควบคุมอย่างเข้ม งวด ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ อินเทอร์เน็ต ไวไฟ ฯลฯ มีไว้สำหรับบริการ "วรรณะนักท่องเที่ยว" หรือเศรษฐีคิวบันเท่านั้น
ในที่สุดชาวโลกผู้มี 3จี หรือไวไฟติดตัว 24 ชั่วโมงอย่างผู้เขียนก็กลั้นใจวางทิ้งอุปกรณ์ไฮเทคคู่ใจทุกอย่างไว้ในโรงแรม สละซึ่งวรรณะจอมปลอมแล้วชวนกันออกมาเดินสูดกลิ่นไอคอมมิวนิสต์อย่างดื่มด่ำ เปิดใจซึมซับเรียนรู้ชาวคิวบันผู้กล้านิยามตัวเองว่าเป็น "ประเทศยากจนที่สะดวกสบายที่สุดในโลก"
จอมณรงธร (ตี๋)
กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2556-57
กลุ่ม "Fanclub FS"
20 มีนาคม 2013
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น