Die vier kunstreichen Brüder
(ดี
เฟียร์ คุนสตรายเคน บรูดาร์)
4 พี่น้องผู้เก่งกาจ
ครอบครัวที่ยากจนครอบครัวหนึ่งมีลูกชายอยู่ 4 คน คนโตชื่อว่า Margo (มาร์โก - เครื่องประดับ) คนรองชื่อ Matthäus (มัทเธอุส - ของขวัญพระเจ้า) คนที่ 3 ชื่อ Markel (มาร์เคิล - เทพแห่งสงคราม) และคนที่ 4 ชื่อ Manfred (มันเฟร็ด - เงียบสงบ) ทั้ง 4 คน เป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียวกันมาก ช่วยเหลือดูแลกันและกันมาโดยตลอด
เมื่อทั้ง 4 ถึงวัยอันเหมาะสมแล้ว พ่อของพวกเขาได้ขอให้พวกเขาออกเดินทางไปเรียนรู้วิชาการค้า เพื่อนำกลับมาช่วยเหลือจุนเจือฐานะของครอบครัว พี่น้องทั้ง 4 คนจึงทำตามคำขอของพ่อ พวกเขาเดินทางไปด้วยกันจนถึงทางแยกแห่งหนึ่ง
มาร์โก : ช่างบังเอิญเหลือเกิน! ทางแยกนี้มี 4 สายพอดี เหมือนมันต้องการให้เราแยกกันไปคนละทาง แล้วพวกเจ้าล่ะ เห็นว่าอย่างไรดี
มาร์เคิล : ข้าว่าเราแยกกันตรงนี้ก็ดีเหมือนกันนะพี่ เราลองมาแข่งกันดูว่าใครจะทำให้พ่อแม่ของเราดีใจมากที่สุด
มัทเธอุส : เอาสิ! ข้าน่ะไม่ยอมแพ้เจ้าหรอกนะ
มันเฟร็ด : พวกพี่ว่าอย่างไร ข้าก็ว่าตามนั้นแหละ
มาร์โก : ดีล่ะ! อีก 1 ปีให้หลัง เราจะกลับมาพบกันที่นี่อีกครั้ง และขอให้พวกเจ้าทุกคนโชคดี
ละแล้วทั้ง 4 จึงแยกย้ายกันไป แต่ละคนก็มุ่งมั่นตามเส้นทางของตน
กล่าวถึงมาร์โกพี่ชายคนโต เส้นทางที่เขาเลือกได้ชักนำให้เขาเข้าสู่เมืองใหญ่แห่งความมั่งคั่ง และพบกับจอมโจรคนหนึ่ง ผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในด้านการฉกชิงทรัพย์สินโดยที่เจ้าของไม่รู้ตัว และเป็นโอกาสเหมาะของเขาเพราะจอมโจรผู้นี้ต้องการลูกมือในการขนของ จอมโจรจึงรับมาร์โกเป็นลูกน้อง เมื่อถึงเวลาลงมือในงานเลี้ยงอันหรูหราของบรรดาเศรษฐี จอมโจรผู้นี้จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดั่งลมพัด ฝีเท้าเบาเหมือนปุยนุ่น เพียงชั่วพริบตา เครื่องประดับอันเลอค่าทั้งหลายก็มาอยู่ในมือมาร์โกผู้ช่วยแล้ว มาร์โกตื่นเต้นกับความสามารถของจอมโจร และยอมอยู่รับใช้จอมโจรเพื่อเรียนรู้ทักษะอันน่ามหัศจรรย์นี้ จนกว่าจะถึงเวลานัดพบกับพี่น้อง
ส่วนมัทเธอุสพี่ชายคนรอง เส้นทางของเขานำเขาไปที่ท่าเรือแห่งหนึ่ง เขาตัดสินใจสมัครงานเป็นลูกเรือ และอดทนทำงานอย่างขยันขันแข็งจนประทับใจนายเรือลำนั้นเข้า นายเรือจึงเอ็นดูเขา สอนวิชาเดินเรือโดยใช้เนตรทิพย์ให้แก่เขา วิชานี้สามารถทำให้มองเห็นทะลุหมอกหนาหรือโขดหินที่ขวางกั้นระหว่างการเดิน เรือได้ และยังให้กล้องส่องทางไกลช่วยขยายทัศนวิสัยให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับมาร์เคิลน้องชายคนที่ 3 เขาได้ร่อนเร่พเนจรเข้าไปในป่า และพานพบกับนายพรานมือฉมังธนู ผู้ไม่เคยยิงพลาดเป้า ไม่ว่าสัตว์ที่เป็นเหยื่อจะมีขนาดเล็กแค่ไหน หรือรวดเร็วเพียงใด หากตกเป็นเป้าหมายของเขาแล้ว มีแต่จะดับดิ้นสิ้นท่าด้วยลูกศรของเขาเพียงเท่านั้น เมื่อฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว มาร์เคิลไม่เคยพลาดการออกไปล่าสัตว์กับเขาเลยสักครั้ง เพื่อเรียนรู้วิชาการยิงธนูที่แม่นยำราวจับวางของนายพรานผู้นั้น
และมันเฟร็ดน้องคนสุดท้องซึ่งเดินทางไปจนถึงหมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง เขาฝากตัวเป็นผู้ช่วยช่างตัดเสื้อที่มีชื่อเสียงโด่งดังในละแวกนั้น แต่เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าเพราะเหตุใด การเป็นแค่ช่างตัดเสื้อจึงได้รับการยอมรับอย่างมากมายจากชาวบ้านขนาดนี้ อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้ตระหนัก เพราะเขาทำแจกันสูงค่าใบหนึ่งแตก มันเฟร็ดยอมรับความผิดต่อหน้าช่างตัดเสื้อแต่โดยดี ช่างตัดเสื้อไม่ดุด่าว่ากล่าวมันเฟร็ดซ้ำยังปลอบขวัญมันเฟร็ดอีกด้วย พลางจรดเข็มเย็บผ้าไปที่เศษแจกันใบนั้น และเย็บมันเข้าด้วยกันโดยใช้ด้าย และแล้วแจกันใบนั้นก็กลับคืนสภาพเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันเฟร็ดไม่ลังเลใจที่จะขอเรียนรู้ทักษะนี้จากเขาทันที
ในที่สุดเวลาที่เหล่าพี่น้องได้สัญญากันไว้ก็มาถึง ทุกคนมาบรรจบกันตรงทางแยกที่เคยนัดหมายกันไว้ สีหน้าแววตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เมื่อรวมตัวกันแล้ว ก็เดินทางไปสู่จุดหมายแห่งเดียวกัน นั่นคือบ้านเกิดของพวกเขา ระหว่างทางก็ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปมา ต่างคนต่างก็อยากแสดงความสามารถของตนให้พี่น้องคนอื่นได้ประจักษ์ แต่ทุกคนก็อดใจรอจนกว่าจะถึงบ้าน
เมื่อพวกเขากลับมาถึงบ้าน พ่อและแม่ต่างตรงเข้ามาสวมกอดเหล่าลูกชายด้วยความคิดถึง ทุกคนไถ่ถามทุกข์สุขของกันและกัน น้ำตาแห่งความปลื้มปิติหลั่งไหลคลอเบ้ากันออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว โดยเฉพาะมันเฟร็ด น้องคนสุดท้องปล่อยน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อายใครเหมือนเด็กทารก จากกันไป 1 ปี ช่างนานเหมือน 1 สหัสวรรษ
พอเสร็จสิ้นการแสดงความห่วงใยกันลง พี่ชายคนโตมาร์โก ก็ได้โอกาสพูดถึงประสบการณ์ชีวิตที่เขาได้เรียนรู้มา มันไปกระตุ้นให้พี่น้องทุกคนอยากแสดงความสามารถของตนให้บุพการีและพี่น้องคนอื่นได้เห็น ลูกชายคนรองมัทเธอุส รีบชิงประกาศศักดาของตนทันที
มัทเธอุส : พ่อ, แม่! ข้าน่ะมีวิชาตาทิพย์มองเห็นได้ทุกสรรพสิ่ง แม้มีสิ่งอื่นใดมาบดบังไว้ก็ตาม
พ่อ : จริงรึนี่! วิเศษมาก ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงแสดงให้พ่อดูเป็นขวัญตาสักหน่อยสิ
มาร์โก : ใช่แล้ว! ลองแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้าคุยโวเกินความจริงไปหรือเปล่า?
คนอื่นก็คิดเช่นเดียวกัน มัทเธอุสจึงยิ้มอย่างลำพองแล้วบอกให้ทุกคนตามเขาไปด้านนอก เมื่อออกมาแล้ว เขาชี้มือไปยังป่ารกชัฏที่อยู่ห่างไปพอประมาณ พร้อมกับหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาจากย่าม แล้วใช้มันมองไปยังป่าแห่งนั้น เพียงชั่วอึดใจเขาก็บอกแก่ทุกคนว่า "บนต้นไม้ที่สูงที่สุดต้นนั้นมีแม่นกกำลังกกไข่อยู่ในรัง 4 ฟอง" สร้างความประหลาดใจและความสงสัยให้กับทุกคนที่ได้ยินเป็นอันมาก
มาร์เคิลน้องชายคนที่ 3 จึงพูดขึ้นมาว่า "แล้วเราจะพิสูจน์ได้อย่างไรล่ะว่าที่พี่พูดมาเป็นความจริง ต้นไม้ต้นนั้นมันอยู่ไกลมากเลยนะ แถมยังสูงมากอีกด้วย กว่าพวกเราจะไปถึง ลูกนกไม่ฟักเป็นตัวแล้วบินหนีไปก่อนหรืออย่างไร?" มาร์เคิลพูดจาประชดประชัน
"ถ้าเช่นนั้นก็เป็นทีของข้าแล้วสิ ที่จะได้สำแดงเดชให้ทุกคนเห็น" ว่าแล้วมาร์โกก็พุ่งทะยานไปยังเป้าหมายด้วยความเร็วที่ทำให้ทุกสายตาต้องตกตะลึง เพราะพริบตาเดียวเขาก็ไปถึงต้นไม้ต้นนั้น และปีนขึ้นไปบนยอดไม้อย่างชำนาญดั่งเช่นกระรอกป่า เขาฉวยอะไรบางอย่างไว้แล้วถือมันกลับมา
"มัทเธอุสไม่ได้โกหก มีแม่นกและไข่อยู่ในรัง 4 ฟองตามที่พูดจริง" มาร์โกหยิบไข่ 4 ฟองออกมาให้ทุกคนดู มัทเธอุสจึงเผยให้เห็นรอยยิ้มมากขึ้นไปอีก และกล่าวขอบคุณมาร์โกพี่ชายที่ช่วยพิสูจน์ความจริงของตน
แม่ : ตายแล้ว! เจ้าไม่สงสารแม่นกบ้างหรือไรที่ขโมยไข่ของมันมา
มาร์โก : ไม่หรอกแม่ มือข้าเบาจนแม่นกยังไม่รู้ตัวเลย เดี๋ยวข้าจะนำไข่กลับไปวางไว้ที่เดิม
มาร์เคิล : ช้าก่อน! ให้ข้าแสดงอะไรให้พวกท่านดู พี่มาร์โกช่วยข้าที
มาร์เคิลบอกให้มาร์โกนำไข่นกทั้ง 4 ฟองมาตั้งเรียงแถวในแนวเดียวกัน และเว้นระยะห่างของไข่แต่ละฟองไว้เท่ากัน จากนั้นมาร์เคิลได้เอาหน้าไม้ที่บรรจุลูกศรของเขาเล็งมัน ยังไม่ทันที่จะมีใครได้เอื้อนเอ่ยอะไร เขาก็ปล่อยลูกศรออกไป ลูกศรพุ่งตรงไปกระทบไข่นก ฉีกกระชากเปลือกไข่ด้านบนหลุดออกมาพร้อมกันทั้ง 4 ฟอง รอยขาดของเปลือกไข่เรียบเนียนดั่งกระดาษที่ถูกกรรไกรตัด โดยเนื้อไข่หาได้เกิดความเสียหายไม่ เรียกเสียงปรบมือจากบุรุษทุกคน แต่...
แม่ : มาร์เคิล ทำไมทำเช่นนี้ ใจคอของเจ้าทำด้วยอะไร!?
มาร์เคิล : โธ่! ท่านแม่ ข้าอยู่กับนายพรานในป่ามาช้านาน หากมัวแต่สงสารสัตว์อื่น ข้านั่นแหละที่จะแย่เอง
มันเฟร็ด : ท่านแม่! ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าจะช่วยเอง
สิ้นคำมันเฟร็ดก็จัดแจงใช้เข็มวิเศษเย็บเปลือกไข่ทั้งหมดให้กลับคืนดั่งเดิม ทำให้ทุกคนเกิดความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก มันเฟร็ดได้รับคำชมไปอย่างมากมายโดยเฉพาะแม่ของเขา จากนั้นมาร์โกก็นำไข่นกทั้งหมดกลับไปไว้ที่เดิม สมาชิกในครอบครัวต่างชื่นชมกันและกัน และแน่นอนพ่อแม่ของพวกเขาเป็นผู้ที่ปิติยินดีเป็นที่สุด
หลังจากพวกเขากลับมาบ้านได้ 3 วัน พี่น้องทั้ง 4 ก็ล่ำราบุพการี เพื่อออกเดินทางไปผจญภัยอีกครั้ง และนำความมั่งคั่งมาสู่ครอบครัวของตน
4 พี่น้องรีบรุดหน้าไปยังเมืองหลวงแห่งความเจริญทันที ระหว่างทางที่พวกเขาเดินผ่านย่านชุมชน ก็เจอข้าหลวงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนแท่นหินสูงของอนุสาวรีย์ใจกลางเมือง เหล่าข้าหลวงกำลังป่าวประกาศเรื่องเร่งด่วนให้แก่ประชาชนที่มามุงดูอยู่บริเวณนั้นทราบด้วยเสียงอันดัง
ข้าหลวง : ทุกท่านโปรดฟัง! เมื่อวานนี้ยามอาทิตย์อัสดง มีมังกรตัวใหญ่ยักษ์ตนหนึ่งมาลักพาตัวเจ้าหญิงไป สร้างความโศกเศร้าให้แก่องค์ราชาเป็นอันมาก ราชาจึงมีรับสั่งว่า ผู้ใดก็ตามที่สามารถช่วยชีวิตเจ้าหญิงกลับมาได้ ผู้นั้นจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิงและสืบทอดบัลลังก์ต่อจากองค์ราชาเป็นคนต่อไป
มัทเธอุส : มังกรตัวนั้นไปทางทิศใดหรือท่าน?
ข้าหลวง : มันบินตรงไปทางทิศตะวันตกจากปราสาทของราชา แล้วหายลับไปในความมืดมิดท่ามกลางทะเล หากพวกท่านอาสาจะไปช่วยเจ้าหญิง พวกเรายินดีมอบเรือให้ลำหนึ่ง เพราะไม่มีผู้ใดกล้าที่จะรับอาสาในภารกิจเสี่ยงชีวิตเช่นนี้
หลังจากได้ยินดังนั้นแล้ว พี่น้องทั้ง 4 จึงปรึกษาหารือกันพักใหญ่ ทั้งหมดต่างเห็นพ้องที่จะไปช่วยเหลือเจ้าหญิง จึงขอให้เหล่าข้าหลวงพาไปขึ้นเรือ
เมื่อเรือออกจากฝั่งแล้ว หน้าที่หลักในการค้นหาที่อยู่ของมังกรได้ตกเป็นของมัทเธอุสน้องชายคนรอง เขาใช้วิชาเนตรทิพย์ที่ได้ร่ำเรียนมา ค้นหาเจ้าสัตว์ร้ายท่ามกลางคลื่นลมทะเล อันปั่นป่วนและมืดมนอนธการ ในที่สุดมัทเธอุสก็พาพี่น้องทุกคนไปยังเกาะอันโดดเดี่ยวที่มีบรรยากาศน่ากลัวชวนขนพองสยองเกล้าอันเป็นที่อยู่ของเจ้ามังกรได้อย่างปลอดภัย
มาร์โก : มัทเธอุสน้องรัก เจ้าหญิงอยู่ที่ใดบนเกาะแห่งนี้ ข้าจะได้ไปพาเจ้าหญิงกลับมา
มัทเธอุส : ข้าเห็นมันจับองค์หญิงไว้ในอุ้งมือ ตรงถ้ำทางทิศหรดีจากที่พวกเรายืนอยู่ พี่ข้า! เจ้ามังกรตัวนั้นมันใหญ่โตและน่ากลัวเหลือเกิน แต่เรายังมีโชคอยู่บ้าง เพราะมันกำลังหลับอยู่ ท่านพี่ได้โปรดระวังตัวด้วย
มาร์โก : อย่ากังวลไปเลย เจ้าได้เห็นฝีมือของพี่แล้วไม่ใช่หรือ? จงเตรียมเรือรอเอาไว้เถอะ เมื่อข้ากลับมา เราจะได้ออกเรือหนีได้โดยพลัน
สิ้นคำ มาร์โกก็พุ่งทะยานตรงไปยังตำแหน่งของเจ้าหญิงด้วยความว่องไวดุจสายลม ส่วนพี่น้องคนอื่นก็ทำตามคำสั่งของพี่ใหญ่แต่โดยดี พวกเขาช่วยกันหันหัวเรือกลับไปยังทิศที่พวกเขาเพิ่งเดินทางมาถึงอย่างรีบเร่ง
เมื่อมาร์โกมาถึงปากถ้ำ ก็เห็นเจ้าหญิงอยู่ในกรงเล็บของมังกรซึ่งกำลังอยู่ในห้วงนิทรา เจ้าหญิงมีสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด นางกำลังร่ำไห้ แต่ยังมิทันที่เจ้าหญิงจะสังเกตเห็นมาร์โกด้วยซ้ำไป พอรู้สึกตัวอีกทีนางก็อยู่ในอ้อมกอดของมาร์โกแล้ว และเพียงชั่วอึดใจเดียว นางก็ได้แต่รู้สึกประหลาดใจท่ามกลาง 4 พี่น้องบนเรือ
เจ้าหญิง : พวกท่านเป็นใคร?
มาร์โก : พวกข้าคือคนที่อาสามาช่วยเจ้าหญิงตามคำขอขององค์รา...
ทันใดนั้น เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดของเจ้าสัตว์ร้ายก็ดังแทรกการสนทนาขึ้นมา
มันเฟร็ด : มังกรรู้ตัวแล้ว รีบหนีกันเถอะ!
เรือของพวกเขาบ่ายหน้าเข้าสู่ทะเลทันที แต่น่าเสียดายที่มันแล่นไม่เร็วพอที่จะหนีพ้นสายตาของมังกรที่โบยบินบนนภาได้ เจ้ามังกรรีบพุ่งตรงมายังเป้าหมายอย่างอาฆาตมาดร้าย
ขณะที่พวกเขากำลังอกสั่นขวัญแขวนถึงภยันอันตรายที่ใกล้เข้ามาจนทำอะไรไม่ถูก มาเคิลน้องชายคนที่ 3 ก็ไวพอที่จะหยิบหน้าไม้ขึ้นมาแล้วปล่อยลูกศรออกไปแทงทะลุดวงตาข้างหนึ่งของมันอย่างเหมาะเจาะ พลันเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของเจ้าสัตว์ร้ายก็ดังลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วท้องทะเลบริเวณนั้น มันตอบโต้กลับมาอย่างรวดเร็ว ด้วยการฟาดหางลงมากลางลำเรือ นาวาหักกลางพังทลายลงแทบจะทันที จังหวะเดียวกับที่มาร์เคิลพุ่งศรสวนกลับไปถูกนัยน์ตาอีกข้างของมัน เสียงคำรามจึงดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่สามารถระเบิดโทสะเข้าใส่พวกเขาได้ เพราะตาของมันมืดบอดลงเสียแล้ว มันได้แต่เพียงพยายามบินกลับไปที่รังอย่างทุลักทุเลเพื่อเลียบาดแผลของตนเท่านั้น
เมื่อพี่น้องทั้ง 4 พาเจ้าหญิงกลับมายังบ้านเมืองของตนแล้ว ก็ได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่งใหญ่จากชาวเมืองในฐานะเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าหาญซึ่งช่วยชีวิตเจ้าหญิงมาจากอุ้งมือของมังกรร้ายได้สำเร็จ
จากนั้นพระราชาได้เชิญพวกเขาเข้ามาในปราสาท แล้วกล่าวขอบคุณพวกเขาที่ได้ช่วยเหลือลูกสาวของตนไว้ด้วยความปิติยินดียิ่ง และจัดงานต้อนรับขับสู้พวกเขาอย่างสมเกียรติ
เมื่อได้เวลาอันเหมาะสมแล้ว ราชาจึงเอ่ยถึงสัญญาที่เคยให้ไว้ว่า จะมอบเจ้าหญิงเป็นภรรยาแก่ผู้ที่ช่วยชีวิตของนางได้ พร้อมทั้งให้สืบทอดอำนาจและสมบัติทั้งหมดต่อจากราชา
ทว่าเจ้าหญิงมีเพียงคนเดียว แต่ผู้ช่วยชีวิตเจ้าหญิงมีถึง 4 คน จึงเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น พี่น้องที่เคยรักใคร่กลมเกลียวกลับเริ่มทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง
มาร์โก : ข้าเป็นผู้ที่คู่ควรได้แต่งงานกับเจ้าหญิงมากที่สุด เพราะหากไม่มีข้า ก็คงไม่มีใครนำตัวเจ้าหญิงออกมาจากถ้ำของเจ้ามังกรได้
มัทเธอุส : ผิดแล้ว! ข้าต่างหากที่สมควรได้แต่งงานกับเจ้าหญิง เพราะมีเพียงความสามารถของข้าเท่านั้นที่พาทุกคนไปยังเกาะของเจ้าปีศาจได้ หาไม่แล้วพวกเราคงอับจนสิ้นหนทางตั้งแต่เเรก
มาร์เคิล : พวกพี่ลืมไปแล้วหรือว่าใครที่ทำให้ทุกคนรอดตายจากกรงเล็บของเจ้าสัตว์ร้ายมาได้ ไม่ใช่เป็นเพราะลูกศรของข้าหรือ?
มันเฟร็ด : แล้วใครกันล่ะ? ที่ซ่อมเรือจนกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม
การโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อนของพี่น้องทั้ง 4 เป็นไปอย่างดุเดือด และไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น ต่างคนต่างก็อ้างเหตุผลที่จะได้แต่งงานกับเจ้าหญิง จนในที่สุดเจ้าหญิงก็ได้กล่าวขึ้นว่า
เจ้าหญิง : ทุกท่านโปรดฟังข้าก่อน! ข้าขอขอบคุณที่พวกท่านได้ช่วยเหลือชีวิตของข้าไว้ แต่ถ้าการแต่งงานของข้าทำให้พวกท่านต้องทะเลาะกันเองเยี่ยงนี้ ข้าขอปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้จะดีกว่า พวกท่านเคยเป็นพี่น้องที่รักกันดีมิใช่หรือ? จะมาแตกแยกกันเพื่อแย่งผู้หญิงคนเดียวมันสมควรแล้วหรือไม่?
เมื่อพี่น้องทั้ง 4 ได้ยินดังนั้นจึงเริ่มตั้งสติได้ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้หวนคืนมาอีกครั้ง ทุกคนต่างละอายในความโง่เขลาของตนเอง และกล่าวขอโทษซึ่งกันและกัน รวมถึงขออภัยทุกคนที่อยู่ในระหว่างเหตุการณ์นั้นด้วย
เมื่อเป็นเช่นนั้น ราชาจึงไม่สามารถให้เจ้าหญิงแต่งงานกับใครคนใดคนหนึ่งได้ และทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถสืบทอดอำนาจต่อจากราชาไปโดยปริยาย แต่ราชาก็ได้มอบทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งแก่พี่น้องทั้ง 4 แทน และกล่าวอวยพรพวกเขา ทั้งหมดจึงบอกลาพระราชากับเจ้าหญิง แล้วเดินทางกลับบ้านเกิดของพวกตน
หลังจากเหตุการณ์นั้น พี่น้องทั้ง 4 ก็กลับมาสามัคคีกันเหมือนเดิม และทำให้ฐานะทางครอบครัวมั่งคั่งยิ่งขึ้น นับแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็อยู่ร่วมกันมาอย่างผาสุข
จอมณรงธร (ตี๋)
สมาชิกชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2557-58
กลุ่ม "WLC"
1 มกราคม 2015
สมาชิกชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2557-58
กลุ่ม "WLC"
1 มกราคม 2015
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น