ข้อมูลโดย Wikipedia
ประเทศอุรุกวัย (Uruguay) ใช้ภาษา "สเปน" (El español - เอล เอสปันยอล) เป็นภาษาราชการ
ทีมชาติอุรุกวัยมีฉายาคือ La Celeste (ลา เซเลสเต แปลว่า "ทีมแห่งสวรรค์") คนไทยตั้งฉายาให้ทีมชาติอุรุกวัยว่าทีม "จอมโหด" เพราะทีมชาติอุรุกวัยเคยมีสไตล์การเล่นที่ดูรุนแรง เข้าสกัดคู่แข่งอย่างหนักหน่วง
ปัจจุบัน ทีมชาติอุรุกวัยมีอันดับโลกอยู่ที่ 5 ของ FIFA Ranking
ทีมชาติอุรุกวัยเคยชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก 2 ครั้ง และเป็นประเทศแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1930 ชนะฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาในรอบตัดสิน 4-2 ส่วนครั้งที่ 2 ใน ฟุตบอลโลก 1950 ชนะทีมชาติบราซิล ประเทศเจ้าภาพไป 2-1 และผ่านเข้ามาเล่นในรายการฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12
ทีมชาติอุรุกวัยยังเคยได้เหรียญทองฟุตบอลในโอลิมปิก 2 ครั้งคือ ในปี 1924 และ 1928 ก่อนที่จะมีการจัดการเเข่งขันฟุตบอลโลก และยังชนะการแข่งขันรายการ Mundialito (มุนเดียลีโต - โลกใบน้อย) ที่เป็นการแข่งขันระหว่างอดีตแชมเปียนฟุตบอลโลก จัดขึ้นในปี 1980 ที่ประเทศอุรุกวัย เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของฟุตบอลโลก
ทีมชาติอุรุกวัยถือเป็นหนึ่งในทีมชาติที่ประสบความสำเร็จที่สุดทีมหนึ่ง ชนะอย่างเป็นทางการกว่า 18 รางวัล รวมถึงชนะฟุตบอลโลก 2 ครั้ง , โอลิมปิก 2 ครั้ง และโคปาอเมริกา 15 ครั้ง ประเทศอุรุกวัยเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่า 4 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่เล็กที่สุดที่เคยชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก (รองลงมาคือประเทศอาร์เจนตินา มีประชากรมากกว่า 40 ล้านคน)
ทีมชาติอุรุกวัยคืออีกทีมหนึ่ง ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะแย่งกันเป็นแชมป์กลุ่มกับทีมชาติอิตาลี เพราะกองหน้าหลายคนของพวกเขา มีฟอร์มร้อนแรงอยู่ในลีกของตัวเอง และนักเตะส่วนใหญ่ก็ค้าแข้งอยู่ในลีกดังของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา
อีกทั้งยังมีศักดิ์ศรีที่เคยเป็นแชมป์โลก และแชมป์ทวีปค้ำคออยู่ เลยทำให้ทีมชาติอุรุกวัยเป็นทีมที่ถูกจับตามองอย่างมากในการแข่งขันครั้งนี้ ว่าพวกเขาจะไปได้ไกลเพียงใด และหากทีมชาติอุรุกวัยสามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มเข้าไปได้ ในรอบ 16 ทีม พวกเขาจะได้เจอทีมที่เข้ารอบในกลุ่ม C ซึ่งถือว่าไม่แข็งแกร่งเท่าไรนัก โอกาสเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของพวกเขาในบอลโลกคราวนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด
ประเทศอิตาลี (Italia) ใช้ภาษา
"อิตาเลียน" (Il italiano - อิล อิตาเลียโน) เป็นภาษาราชการ ทีมชาติอุรุกวัยเคยชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก 2 ครั้ง และเป็นประเทศแรกที่เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1930 ชนะฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาในรอบตัดสิน 4-2 ส่วนครั้งที่ 2 ใน ฟุตบอลโลก 1950 ชนะทีมชาติบราซิล ประเทศเจ้าภาพไป 2-1 และผ่านเข้ามาเล่นในรายการฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12
ทีมชาติอุรุกวัยยังเคยได้เหรียญทองฟุตบอลในโอลิมปิก 2 ครั้งคือ ในปี 1924 และ 1928 ก่อนที่จะมีการจัดการเเข่งขันฟุตบอลโลก และยังชนะการแข่งขันรายการ Mundialito (มุนเดียลีโต - โลกใบน้อย) ที่เป็นการแข่งขันระหว่างอดีตแชมเปียนฟุตบอลโลก จัดขึ้นในปี 1980 ที่ประเทศอุรุกวัย เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของฟุตบอลโลก
ทีมชาติอุรุกวัยถือเป็นหนึ่งในทีมชาติที่ประสบความสำเร็จที่สุดทีมหนึ่ง ชนะอย่างเป็นทางการกว่า 18 รางวัล รวมถึงชนะฟุตบอลโลก 2 ครั้ง , โอลิมปิก 2 ครั้ง และโคปาอเมริกา 15 ครั้ง ประเทศอุรุกวัยเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่า 4 ล้านคน ถือเป็นประเทศที่เล็กที่สุดที่เคยชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก (รองลงมาคือประเทศอาร์เจนตินา มีประชากรมากกว่า 40 ล้านคน)
*เส้นทางฟุตบอลโลกของทีมชาติอุรุกวัย*
ทีมชาติอุรุกวัยคืออีกทีมหนึ่ง ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะแย่งกันเป็นแชมป์กลุ่มกับทีมชาติอิตาลี เพราะกองหน้าหลายคนของพวกเขา มีฟอร์มร้อนแรงอยู่ในลีกของตัวเอง และนักเตะส่วนใหญ่ก็ค้าแข้งอยู่ในลีกดังของทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา
อีกทั้งยังมีศักดิ์ศรีที่เคยเป็นแชมป์โลก และแชมป์ทวีปค้ำคออยู่ เลยทำให้ทีมชาติอุรุกวัยเป็นทีมที่ถูกจับตามองอย่างมากในการแข่งขันครั้งนี้ ว่าพวกเขาจะไปได้ไกลเพียงใด และหากทีมชาติอุรุกวัยสามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มเข้าไปได้ ในรอบ 16 ทีม พวกเขาจะได้เจอทีมที่เข้ารอบในกลุ่ม C ซึ่งถือว่าไม่แข็งแกร่งเท่าไรนัก โอกาสเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายของพวกเขาในบอลโลกคราวนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่อย่างใด
ทีมชาติอิตาลีมีฉายาคือ Azzurri (อัซซูร์รี แปลว่า "ทีมสีฟ้า") ส่วนคนไทยเราตั้งฉายาให้ทีมชาติอิตาลีว่า "ทีมมะกะโรนี"
ปัจจุบัน ทีมชาติอิตาลีมีอันดับโลกอยู่ที่ 9 ของ FIFA Ranking
ทีมอิตาลีชนะการแข่งขันฟุตบอลโลก ทั้งหมด 4 ครั้ง คือในปี 1934 , 1938 ,
1982 และครั้งล่าสุดปี 2006
นอกจากนั้นยังชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1 ครั้งในปี 1968
และยังได้เหรียญทองฟุตบอลในกีฬาโอลิมปิก ในปี 1936 พวกเขาเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่ 1 สีประจำทีมอิตาลีคือสีฟ้าอ่อน ซึ่งในภาษาอิตาลีคือ Azzurro (อัซซูร์โร)
เป็นที่มาของชื่อเล่นของทีมว่า "อัซซูรี"
(รูปพหูพจน์ของคำนามเพศชายภาษาอิตาลี)
และยังเป็นสีประจำราชวงศ์ของประเทศอิตาลีในอดีต
เจ้าของสไตล์การเล่นแบบ Catenaccio (กาเตนักโช - สายฟ้า) ที่ชาวอิตาลีบอกว่ามันคือการบุกสวนกลับแบบสายฟ้าแลบ แต่คนไทยให้นิยามใหม่ว่า "ตีหัววิ่งเข้าบ้าน" ซึ่งน่าจะตรงกว่า เพราะเน้นอุดประตู แล้วรอทีเผลอ
*เส้นทางฟุตบอลโลกของทีมชาติอิตาลี*
ปัญหาคือ ทีมชาติอิตาลีมักจะเล่นไม่ดีเลยในรอบแบ่งกลุ่ม ทำให้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ต้องดันตัวเองให้เข้ารอบต่อไปจนเป็นที่ 2 ของกลุ่มอยู่เกือบตลอด ในบอลโลกปี 2014 นี้ ก็อาจเป็นเช่นเดียวกัน
แต่หลังจากเข้าสู่รอบ Knockout แล้ว พวกเขามักจะทำได้ดี จนทะลุสู่รอบลึก ๆ อยู่บ่อยครั้ง แม้สไตล์การเล่นจะไม่ค่อยประทับใจคนดูส่วนใหญ่เท่าไรนัก เพราะเล่นรับและรอโต้กลับเป็นหลัก
ข้อสังเกต : ปีที่อิตาลีได้แชมป์ ทีมชาติอิตาลีจะเปลี่ยนสไตล์การเล่นจากเน้นรับ กลายมาเป็นรุก อย่างเช่นในปี 2006 ที่ผ่านมา
ประเทศอังกฤษ (England) ใช้ภาษา "อังกฤษ" (English) เป็นภาษาราชการ
ทีมชาติอังกฤษมีฉายาว่า The Three Lions (ทีมสามเสือ) คนไทยตั้งฉายาให้ทีมชาติอังกฤษว่าทีม "สิงโตคำราม"
ปัจจุบัน ทีมชาติอังกฤษมีอันดับโลกอยู่ที่ 11 ของ FIFA Ranking
ประเทศอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ให้กำเนิดกีฬาฟุตบอล แต่ทีมชาติอังกฤษกลับชนะเลิศฟุตบอลโลกแค่ 1 ครั้ง ในปี 1966 แบบโชคช่วย เพราะในนัดชิงกับทีมชาติเยอรมันตะวันตก พวกเขายิงไม่ข้ามเส้น แต่กรรมการดันตัดสินให้เป็นประตูเฉย ซึ่งอาจเป็นเพราะแพ้แรงเชียร์ของแฟนบอลเจ้าถิ่นในสนาม ยิ่งกว่านั้นทีมชาติอังกฤษไม่เคยเป็นแชมป์ในรายการฟุตบอลยุโรปเลย
ทีมชาติอังกฤษเข้าฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทั้งหมดจนถึงปัจจุบันเป็นครั้งที่ 14 ซึ่งประเทศอังกฤษเริ่มเล่นครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1950 ซึ่งแม้จะผ่านรอบคัดเลือกแต่ก็ต้องตกรอบแรกไป หลังจากนั้นทีมอังกฤษผ่านรอบคัดเลือกมาตลอดทุกปีต่อเนื่องกัน จนกระทั่งชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1966
แต่หลังจากนั้นในฟุตบอลโลก 1974, 1988 และ 1994 ทีมชาติอังกฤษไม่ผ่านรอบคัดเลือก โดยในฟุตบอลโลก 2006 ทีมชาติอังกฤษเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศและแพ้ ทีมชาติโปรตุเกสไปจากการดวลจุดโทษ และล่าสุดฟุตบอลโลก 2010 ทีมชาติอังกฤษก็ต้องตกรอบตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ ทีมชาติเยอรมันไป 1-4
ถ้าว่ากันตามฟอร์มนักเตะในปัจจุบันของทีมชาติอังกฤษ ต้องบอกว่าโอกาสที่พวกเขาจะผ่านรอบแบ่งกลุ่มนั้นมีน้อยกว่าทีมเต็งร่วมสายมาก เมื่ออยู่ใน Group of Death ทีมีทีมอดีตแชมป์โลกอยู่ในกลุ่มถึง 3 ทีมได้แก่ ทีมชาติอังกฤษ , อิตาลี และอุรุกวัย ซึ่ง 2 ทีมหลังมีฟอร์มที่สม่ำเสมอกว่า แม้ว่าพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษจะเป็นลีกชั้นนำของโลกก็ตาม แต่นักเตะที่เล่นได้โดดเด่นในพรีเมียร์ลีกกลับเป็นนักเตะต่างชาติซะส่วนใหญ่
ยิ่งถ้านัดแรกของทีมชาติอังกฤษเกิดแพ้ทีมชาติอิตาลี แล้วทีมชาติอุรุกวัยชนะทีมชาติโกสตา ริกาด้วยแล้ว ต้องบอกเลยว่าโอกาสตกรอบของพวกเขามีสูงมากแน่นอน เพราะนัดที่ 2 ต้องเล่นกับทีมชาติอุรุกวัย ซึ่งมีกองหน้าที่มีฟอร์มร้อนแรงในลีกของพวกเขาเอง จนเรียกได้ว่ารู้ไส้รู้พุงของกองหลังทีมชาติอังกฤษแบบหมดเปลือก โอกาสที่พวกเขาจะถูกทะลวงตาข่าย และถูกส่งกลับบ้านก่อนเวลาอันควรจึงมีสูงมาก
อย่างไรก็ดี นักเตะทีมชาติอังกฤษเป็นประเภทที่เรียกว่า "วิ่งสู้ฟัด" จนหยดสุดท้ายกันทุกคน ด้วยสิ่งนี้อาจเป็นความหวังอันริบหรี่ให้แก่แฟนบอลของพวกเขาได้พอสมควรเลยทีเดียว
ประเทศโกสตา ริกา (Costa rica - ชายฝั่งอันมั่งคั่ง) ใช้ภาษา "สเปน" (El español - เอล เอสปันยอล) เป็นภาษาราชการ
ทีมชาติโกสตา ริกา มีฉายาว่า La sele (ลา เซ้เล) ซึ่งย่อมาจากคำว่า La selección (ลา เซเล็กซิโอน ภาษาสเปนแปลว่า "ทีมที่ได้รับเลือก")
หรือมีอีกฉายาว่า Los Ticos (โลส ตีโกส ภาษาสเปนแปลว่า "ทีมของชาวโกสตา ริกา" เพราะคำว่า Tico เป็นชื่อย่อเรียกชาวโกสตา ริกา ซึ่งภาษาสเปนคือคำว่า "costarricense - โกสตาริเซ้นเซ")
ส่วนคนไทยตั้งฉายาให้พวกเขาว่าเป็นทีม "กล้วยหอม" เพราะประเทศโกสตา ริกา ส่งออกกล้วยหอมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ประเทศอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ให้กำเนิดกีฬาฟุตบอล แต่ทีมชาติอังกฤษกลับชนะเลิศฟุตบอลโลกแค่ 1 ครั้ง ในปี 1966 แบบโชคช่วย เพราะในนัดชิงกับทีมชาติเยอรมันตะวันตก พวกเขายิงไม่ข้ามเส้น แต่กรรมการดันตัดสินให้เป็นประตูเฉย ซึ่งอาจเป็นเพราะแพ้แรงเชียร์ของแฟนบอลเจ้าถิ่นในสนาม ยิ่งกว่านั้นทีมชาติอังกฤษไม่เคยเป็นแชมป์ในรายการฟุตบอลยุโรปเลย
ทีมชาติอังกฤษเข้าฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทั้งหมดจนถึงปัจจุบันเป็นครั้งที่ 14 ซึ่งประเทศอังกฤษเริ่มเล่นครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1950 ซึ่งแม้จะผ่านรอบคัดเลือกแต่ก็ต้องตกรอบแรกไป หลังจากนั้นทีมอังกฤษผ่านรอบคัดเลือกมาตลอดทุกปีต่อเนื่องกัน จนกระทั่งชนะเลิศในฟุตบอลโลก 1966
แต่หลังจากนั้นในฟุตบอลโลก 1974, 1988 และ 1994 ทีมชาติอังกฤษไม่ผ่านรอบคัดเลือก โดยในฟุตบอลโลก 2006 ทีมชาติอังกฤษเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศและแพ้ ทีมชาติโปรตุเกสไปจากการดวลจุดโทษ และล่าสุดฟุตบอลโลก 2010 ทีมชาติอังกฤษก็ต้องตกรอบตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยแพ้ ทีมชาติเยอรมันไป 1-4
*เส้นทางฟุตบอลโลกของทีมชาติอังกฤษ*
ถ้าว่ากันตามฟอร์มนักเตะในปัจจุบันของทีมชาติอังกฤษ ต้องบอกว่าโอกาสที่พวกเขาจะผ่านรอบแบ่งกลุ่มนั้นมีน้อยกว่าทีมเต็งร่วมสายมาก เมื่ออยู่ใน Group of Death ทีมีทีมอดีตแชมป์โลกอยู่ในกลุ่มถึง 3 ทีมได้แก่ ทีมชาติอังกฤษ , อิตาลี และอุรุกวัย ซึ่ง 2 ทีมหลังมีฟอร์มที่สม่ำเสมอกว่า แม้ว่าพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษจะเป็นลีกชั้นนำของโลกก็ตาม แต่นักเตะที่เล่นได้โดดเด่นในพรีเมียร์ลีกกลับเป็นนักเตะต่างชาติซะส่วนใหญ่
ยิ่งถ้านัดแรกของทีมชาติอังกฤษเกิดแพ้ทีมชาติอิตาลี แล้วทีมชาติอุรุกวัยชนะทีมชาติโกสตา ริกาด้วยแล้ว ต้องบอกเลยว่าโอกาสตกรอบของพวกเขามีสูงมากแน่นอน เพราะนัดที่ 2 ต้องเล่นกับทีมชาติอุรุกวัย ซึ่งมีกองหน้าที่มีฟอร์มร้อนแรงในลีกของพวกเขาเอง จนเรียกได้ว่ารู้ไส้รู้พุงของกองหลังทีมชาติอังกฤษแบบหมดเปลือก โอกาสที่พวกเขาจะถูกทะลวงตาข่าย และถูกส่งกลับบ้านก่อนเวลาอันควรจึงมีสูงมาก
อย่างไรก็ดี นักเตะทีมชาติอังกฤษเป็นประเภทที่เรียกว่า "วิ่งสู้ฟัด" จนหยดสุดท้ายกันทุกคน ด้วยสิ่งนี้อาจเป็นความหวังอันริบหรี่ให้แก่แฟนบอลของพวกเขาได้พอสมควรเลยทีเดียว
ประเทศโกสตา ริกา (Costa rica - ชายฝั่งอันมั่งคั่ง) ใช้ภาษา "สเปน" (El español - เอล เอสปันยอล) เป็นภาษาราชการ
ทีมชาติโกสตา ริกา มีฉายาว่า La sele (ลา เซ้เล) ซึ่งย่อมาจากคำว่า La selección (ลา เซเล็กซิโอน ภาษาสเปนแปลว่า "ทีมที่ได้รับเลือก")
หรือมีอีกฉายาว่า Los Ticos (โลส ตีโกส ภาษาสเปนแปลว่า "ทีมของชาวโกสตา ริกา" เพราะคำว่า Tico เป็นชื่อย่อเรียกชาวโกสตา ริกา ซึ่งภาษาสเปนคือคำว่า "costarricense - โกสตาริเซ้นเซ")
ส่วนคนไทยตั้งฉายาให้พวกเขาว่าเป็นทีม "กล้วยหอม" เพราะประเทศโกสตา ริกา ส่งออกกล้วยหอมเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
ปัจจุบัน ทีมชาติโกสตา ริกา มีอันดับโลกอยู่ที่ 34 ของ FIFA Ranking
ผลงานที่ดีที่สุดของโกสตา ริกาในฟุตบอลฟุตโลก คือ เข้าถึงรอบ 16
ทีมสุดท้าย เมื่อปี 1990 ส่วนผลงานในรอบคัดเลือกโซนของตัวเอง ในรอบ 3
เข้ามาเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม B ด้วยผลงานชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 2 มี 10 แต้ม
ตามหลังแชมป์กลุ่มอย่าง ทีมชาติเม็กซิโก ถึง 8 คะแนนด้วยกัน แต่ผลงานในรอบ 4
ทีมชาติโกสตา ริกา กลับงัดฟอร์มสุดยอดออกมาได้ทันเวลาเมื่อคว้าอันดับ 2
ต่อจาก ทีมชาติอเมริกา ผ่านเข้ารอบสุดท้ายไปอัตโนมัติ
ส่งทีมชาติเม็กซิโกไปเตะเพลย์ออฟแทน พวกเขาเข้ามาเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4
ถ้าจะให้เปรียบเปรย ก็ต้องบอกว่าทีมชาติโกสตา ริกา เหมือนสมันน้อยในฝูงหมาป่ากระหายเลือดดี ๆ นี่เอง เมื่อต้องมาอยู่ร่วมสายกับ 3 ทีมอดีตแชมป์โลกอย่างทีมชาติอิตาลี , อุรุกวัย และอังกฤษ ใช่ว่าทีมชาติโกสตา ริกา
จึงไม่มีอะไรให้พวกเขามีความหวังเข้ารอบเลยแม้แต่น้อย เชื่อว่าทั้งกุนซือและนักเตะของทีมก็คิดเช่นเดียวกัน ประมาณว่า "พวกฉันแค่มาเที่ยวพักร้อนที่ประเทศบราซิลเท่านั้น" เป็นตัวประกอบรับเชิญ มาเตะให้ครบตามโปรแกรมแล้วกลับบ้าน
*เส้นทางฟุตบอลโลกของทีมชาติโกสตา ริกา*
ถ้าจะให้เปรียบเปรย ก็ต้องบอกว่าทีมชาติโกสตา ริกา เหมือนสมันน้อยในฝูงหมาป่ากระหายเลือดดี ๆ นี่เอง เมื่อต้องมาอยู่ร่วมสายกับ 3 ทีมอดีตแชมป์โลกอย่างทีมชาติอิตาลี , อุรุกวัย และอังกฤษ ใช่ว่าทีมชาติโกสตา ริกา
จึงไม่มีอะไรให้พวกเขามีความหวังเข้ารอบเลยแม้แต่น้อย เชื่อว่าทั้งกุนซือและนักเตะของทีมก็คิดเช่นเดียวกัน ประมาณว่า "พวกฉันแค่มาเที่ยวพักร้อนที่ประเทศบราซิลเท่านั้น" เป็นตัวประกอบรับเชิญ มาเตะให้ครบตามโปรแกรมแล้วกลับบ้าน
Únete al grupo de Facebook "Club de las lenguas occidentales de la Universidad de Ramkhamhaeng" al https://www.facebook.com/groups/365756166805480/
สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/
สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/
จอมณรงธร (ตี๋)
กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2556-57
กลุ่ม "Fanclub FS"
11 พฤษภาคม 2014
กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2556-57
กลุ่ม "Fanclub FS"
11 พฤษภาคม 2014
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น