วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2558

Der Bärenhäuter - หนังหมี

Der Bärenhäuter 
(แดร์ เบเครนฮอยทาร์) 
หนังหมี

 

     นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมนำเค้าโครงเรื่องมาจาก Grimms Märchen (กริมมส์ แมร์เคิน - เทพนิยายกริมมส์) มาแต่งใหม่ และนำชื่อภาษาเยอรมันมาตั้งเป็นชื่อตัวละคร ลองอ่านดูครับ

 

     ภายในผืนป่ายามสนธยา มีนายพรานหนุ่มคนหนึ่งชื่อ Harman (ฮามันน์ แปลว่า ความเป็นชาย) เขากำลังถือปืนไล่ล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงชีพ หน้าตาของเขาจัดว่าหล่อเหลาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกำยำแข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้าม

     ส่วนวิชาล่าสัตว์และหาของป่า เขาสืบทอดมาจากบิดาของตัวเองที่เสียไปนานจนเขาจำหน้าไม่ได้ และตั้งแต่รู้ความเขาก็ไม่มีมารดาแล้ว ซึ่งบิดาของเขาเป็นคนมอบแหวนแต่งงานของมารดาให้แก่เขาวงหนึ่งเพื่อเก็บไว้ดู ต่างหน้า ตอนนี้เขาจึงอยู่เพียงลำพัง ได้แต่ล่าสัตว์เพื่อประทังชีวิตไปเรื่อย และจำต้องนอนค้างอ้างแรมในป่าอยู่หลายครั้ง ถ้าวันไหนโชคดีเจอของหายากก็จะนำไปขายในเมือง ได้เงินมาก็หมดไปกับเพื่อนฝูงหรือไม่ก็ผู้หญิงตามประสาชายหนุ่มทั่วไป 

     เย็นวันนั้นเองที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ในขณะที่เขาตามแกะรอยกวางตัวหนึ่งอยู่ เขาได้เผลอตัวหลุดเข้าไปในบริเวณป่าที่ยังไม่เคยสำรวจมาก่อน เมื่อเดินไปได้สักพัก เขาจึงรู้สึกตัวว่ามีคนเดินสะกดรอยเขาอยู่ เขาหันหลังกลับมาทันที พร้อมตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า "นั่นใครน่ะ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้" 

     สิ้นเสียง ชายวัยกลางคนใส่เสื้อคลุมยาวสีเขียวก็ปรากฏกายพร้อมกับหัวเราะออกมา แต่สิ่งที่ทำให้ฮามันน์ประหลาดใจไม่ใช่เสียงหัวเราะ แต่เป็นเท้าที่ดูเหมือนกีบแพะของชายผู้นั้น

ฮามันน์ : เท้าแบบนั้นคงไม่ใช่คนแน่ เจ้าเป็นตัวอะไรกัน!?

ปีศาจ : โอ้! ช่างสังเกตดีนี่ ถูกต้องแล้ว ข้าไม่ใช่มนุษย์ กลัวข้าหรือเปล่าล่ะ เจ้าหนุ่ม?
ด้วยความที่ฮามันน์ผ่านเรื่องอันตรายในป่ามามากมายนับไม่ถ้วน เขาจึงตั้งสติได้และเก็บความประหวั่นพรั่นพรึงไว้ในใจ ไม่แสดงออกมาให้มันรู้ พร้อมกับตะเบ็งเสียงออกไป

ฮามันน์ : เจ้าต้องการอะไรกันแน่!?

ปีศาจ : โถ! อย่ากลัวไปเลย เด็กน้อย ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก แค่อยากทำการค้ากับเจ้าเท่านั้น

ฮามันน์ : การค้าบ้าบออะไรกัน?

ปีศาจ : สงบใจไว้ก่อน ไม่ต้องรีบร้อน ข้าน่ะมีเวทมนต์ที่ทำให้เจ้าสมปรารถนาได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน

ฮามันน์ : ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ไสหัวไปซะ!

ปีศาจ : ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำให้เชื่อ

 

     พูดเสร็จ เจ้าปีศาจในชุดสีเขียวก็ดีดนิ้ว ทันใดนั้นหมีดุร้ายตัวหนึ่งโผล่พรวดออกมา และวิ่งเข้าใส่ฮามันน์โดยไม่รอให้ตั้งตัว พร้อมขู่คำรามเสียงดังเขย่าโสตประสาท แต่มันกลับปลุกสัญชาตญาณดิบในตัวของฮามันน์ขึ้นมาแทน ฮามันน์เล็งปืนเข้าใส่หมีตัวนั้นแล้วลั่นไกอย่างไม่ลังเล ลูกกระสุนเจาะทะลุหน้าผากของเจ้าหมีตัวใหญ่ล้มลงกระแทกพื้นดังสะเทือนเลื่อน ลั่น เมื่อมันแน่นิ่งไปแล้ว ปีศาจจึงปรบมือให้เขาและพูดว่า

ปีศาจ : ไม่เสียแรงที่หวังไว้ เอาล่ะ ทีนี้เจ้าจงดูให้ดี

     มันดีดนิ้วอีกครั้ง ฉับพลันร่างของหมีก็เหลือเพียงแต่หนัง ฮามันน์ตกตะลึงกับภาพที่เห็น เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง 

 

ปีศาจ : เอาไปขายคงได้ราคาไม่น้อย ว่าแต่เจ้ามีอะไรที่อยากได้ไหมล่ะ?

ฮามันน์ : แล้วข้าจะต้องทำอย่างไร เจ้าคงไม่ให้เปล่ากระมัง?

ปิศาจ : ฉลาดดีนี่ มันขึ้นอยู่กับเจ้าต่างหากว่าอยากได้อะไร?

ฮามันน์ : ข้าอยากร่ำรวยมีเงินทองมากมายโดยไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต

ปีศาจ : แหม! ข้อเรียกร้องสูง ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เจ้าจะต้องทำก็ยากไม่แพ้กัน...ดีล่ะ! ข้าจะให้เจ้าสวมหนังหมีนี้ไว้กับตัวตลอด 7 ปี ห้ามถอดมันออกมาเด็ดขาด! อีกทั้งห้ามตัดผมตัวเอง ห้ามตัดเล็บ และห้ามอาบน้ำ หากเจ้าทำทั้งหมดนี้ได้สำเร็จ โดยไม่ถอดใจตายไปเสียก่อน เจ้าจะได้ตามที่ปรารถนา แต่ถ้าเจ้าทำไม่ได้ล่ะก็ วิญญาณของเจ้าต้องตกเป็นของข้า ตกลงไหม?

     ด้วยความที่ฮามันน์อยู่ในวัยคึกคะนอง เขาจึงเห็นข้อเสนอของปีศาจเป็นเรื่องท้าทาย และด้วยความมั่นใจในการหาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง ประกอบกับความละโมบที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เขาจึงตอบออกไปว่า

ฮามันน์ : ก็ได้! ข้ารับข้อเสนอของเจ้า แต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าไม่ได้แกล้งหลอกข้าให้ดูเป็นคนโง่นานขนาดนั้น

ปีศาจ : โอ๊ย! ง่ายนิดเดียว เจ้าก็ยอมแพ้เสียสิ! แล้วข้าจะปรากฎกายออกมารับดวงวิญญาณของเจ้าในทันใด

ฮามันน์ : ไม่มีทางเสียล่ะ ครบ 7 ปีเมื่อไร ข้าจะกลับมาที่นี่ เพื่อทวงสิ่งที่ข้าสมควรได้รับจากเจ้าแน่!

ปีศาจ : เช่นนั้นเจ้าจะมัวรีรออะไร! รีบคลุมหนังหมีซะสิ ข้อตกลงระหว่างเราจะได้เริ่มต้นเสียที

     เมื่อฮามันน์ได้เอาหนังหมีคลุมร่างตัวเองแล้ว ปีศาจก็หัวร่อออกมาเป็นการทิ้งท้ายแล้วเลือนหายไป ฮามันน์กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ แววตาเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่น เขาคิดว่าตัวเองจะทำได้สำเร็จแน่นอน พลางฝันถึงอนาคตที่จะได้กลายเป็นเศรษฐี แล้วจึงเดินทางกลับไป
ในระยะแรกนั้นเขายังคงดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ออกไปล่าสัตว์ประทังชีวิต และนำชิ้นส่วนที่มีราคาของสัตว์ที่เขาฆ่าได้ไปขายในเมือง แม้หนังหมีที่เขาสวมอยู่จะสร้างความกังขาให้แก่หมู่สหาย จนถูกตั้งคำถามเป็นเนืองนิตย์ แต่เมื่อเขาเล่าความจริงให้ทุกคนฟัง ก็หามีใครเชื่อไม่ ซ้ำยังบอกว่าเขาเสียสติไปเสียแล้ว 

 

     แต่เมื่อเวลาผ่านไปเป็นปี แผนอุบาทว์ที่เจ้าปีศาจได้วางไว้ก็เป็นที่ประจักษ์ ผมเผ้าของฮามันน์เริ่มยาวกระเซอะกระเซิง เล็บมือยื่นแหลมออกมาเหมือนเล็บของสัตว์ป่า เนื้อตัวส่งกลิ่นเหม็นสาบอย่างรุนแรง ประกอบกับหนังหมีที่เขาคลุมมันไว้ทำให้เขาดูไม่ต่างอะไรจากหมีตัวจริงนัก สร้างความน่ารังเกียจเดียดฉันท์ให้แก่บรรดาผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอันมาก

 

     หน้าตาที่เคยหล่อเหลาของเขากลับโทรมลงอย่างน่าใจหาย ดูชราลงไปหลายปี หญิงสาวมากหน้าที่เคยพยายามเข้ามาใกล้ชิดเขา บัดนี้หายไปจนสิ้น เพื่อนฝูงที่เคยนั่งโต๊ะดื่มสุราด้วยกันก็ทำตัวห่างเหินไม่พูดไม่จากับเขา ทำเหมือนเขาไร้ตัวตน เด็กบางคนยามเห็นเขาถึงกับร้องไห้ บางคนวิ่งหนีไปเลย ส่วนแม่ของเด็กต่างพาลูกของตัวเองเข้าบ้านและปิดประตูลงกลอน วันไหนเขาโชคร้ายหน่อยก็ถูกคนเอาหินขว้างใส่ ตะโกนไล่เขาอย่างกับสุนัขจรจัด 
 

     ความเชื่อมั่นที่เคยเปี่ยมล้นของเขาถดถอยลงตามกาลเวลา เขาพยายามปลีกตัวไปอาศัยอยู่ในป่ามากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คน และไม่เข้าไปในเมืองหากไม่จำเป็น บางครั้งเขาถึงกับยอมตากฝนเพื่อชำระล้างกลิ่นกายของตน เพราะเกรงว่าจะผิดข้อตกลงกับปีศาจ แต่ก็ระวังตัวไม่ให้เป็นไข้ และออกกำลังกายอยู่สม่ำเสมอ เพราะรู้ตัวว่าหากเขาเป็นอะไรไป คงไม่มีใครมาช่วยเขาแน่ 

     บางครั้งยามเขาอยู่ตามลำพัง เขารู้สึกสับสนว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงหรือฝันไป ปีศาจมีตัวตนจริงหรือเปล่า หรือมันเป็นเพียงจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมาเอง? แต่เมื่อเขาได้สัมผัสกับหนังหมี เขาจึงระลึกได้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน และไม่กล้าถอดมันออก เพราะกลัวว่าปีศาจจะมาชิงดวงวิญญาณของเขาไป เขาด่าทอในความโง่เขลาเบาปัญญาของตนที่ไปทำข้อตกลงกับปีศาจไว้แบบนั้น ในยามท้อแท้ใจเช่นนี้ เขาได้แต่พึ่งแหวนแต่งงานของมารดาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

     ถ้าจะมีเรื่องดีเกิดขึ้นบ้างก็ตรงที่เขาเหลือเงินเก็บมากขึ้นกว่าเดิม นั่นเป็นเพราะเขายังคงหาของในป่าไปขายเช่นเคย ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าชวนเขาไปสำมะเลเทเมา ยามที่เจ้าของร้านรับซื้อของจากเขา ก็หันรีหันขวางกลัวคนอื่นมาเห็น ดูเหมือนกำลังรับซื้อของโจรอย่างไรอย่างนั้น เขาจึงไม่กล้าใช้จ่ายเงินที่เก็บได้อย่างฟุ่มเฟือย เพราะต้องการเผื่อไว้สำหรับวันที่เขาต้องใช้มันรักษาชีวิตตนเอง

     และแล้วเวลาก็ผ่านไปได้ 4 ปี วันหนึ่งขณะที่เขากำลังล่าสัตว์อยู่ในป่า เขาได้ยินเสียงคนกำลังร้องคร่ำครวญหวนไห้ เขาจึงเดินตามเสียงนั้นไป จนกระทั่งพบชายสูงอายุผู้หนึ่งกำลังจะแขวนคอฆ่าตัวตายบนต้นไม้ ฮามันน์รีบตรงเข้าไปห้ามปรามทันที 

     แรกเริ่มเมื่อชายคนนั้นเห็นฮามันน์ เขาก็แสดงสีหน้าตกใจราวกับเห็นผีมารซาตาน แต่พอฮามันน์ถามถึงสาเหตุที่ต้องฆ่าตัวตายจากชายคนนั้น เขาจึงเล่าให้ฟังทั้งน้ำตาว่า เขาเป็นพ่อค้าแต่เกิดทำผิดพลาดครั้งใหญ่จนขาดทุนเป็นหนี้ก้อนโต หากไม่มีเงินไปใช้คืนบ้าง คงถูกจับไปขังคุก แล้วไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน หรือครอบครัวจะเป็นอย่างไรต่อไป เกิดความอับอายจนคิดสั้น จะตัดช่องน้อยแต่พอตัวเพื่อหนีปัญหา

     จะด้วยความมีมนุษยธรรมหรือความอยากมีใครสักคนเป็นเพื่อนของฮามันน์ก็แล้วแต่ เขาตัดสินใจนำเงินเก็บทั้งหมดของตนมอบให้แก่พ่อค้าผู้นั้นไป แม้มันจะไม่มากมายนักแต่ก็พอนำไปผลัดผ่อนหนี้สินได้ และทำให้บ้านของพ่อค้าไม่ถูกยึด พ่อค้าจึงเกิดความหวังที่จะต่อสู้ชีวิตได้อีกครั้ง เขาซาบซึ้งในบุญคุณของฮามันน์เป็นอย่างมาก จึงกล่าวขอบคุณเขาและชวนเขาไปที่บ้าน

     ฮามันน์ดีใจมากที่มีคนไม่รังเกียจเขา จึงไม่ปฏิเสธคำเชื้อเชิญแล้วตามเขาไปแต่โดยดี ระหว่างทางพ่อค้าบอกว่าเขามีลูกสาว 3 คน และเขาจะยกลูกสาวคนหนึ่งให้แต่งงานด้วย แต่คงต้องถามความสมัครใจของลูกสาวก่อน

     เมื่อฮามันน์ได้ยินพ่อค้าพูดเช่นนั้น ใจหนึ่งก็รู้สึกเจียมตัวว่าตนนั้นไม่คู่ควรที่จะได้แต่งงานกับลูกสาวของพ่อ ค้า แต่อีกใจก็แอบหวังว่าลูกสาวคนใดคนหนึ่งของพ่อค้าจะยอมแต่งงานด้วย เพราะเขาเบื่อหน่ายที่จะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป จิตใจของเขาทั้งวิตกกังวลและครึ้มอกครึ้มใจไปในเวลาเดียวกัน ประดุจการรอคอยคำพิพากษาจากพระเจ้าว่าจะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก

     เมื่อมาถึงบ้านของพ่อค้า เขาขอให้ฮามันน์รออยู่ข้างนอกก่อน แล้วจึงเรียกลูกสาวทั้ง 3 คนของตนเองมาพบ พร้อมทั้งเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

     กล่าวถึงลูกสาวคนโต ใบหน้าของนางสวยงามน่าพิสมัย นางสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสมีราคา ส่วนลูกสาวคนรองมีหน้าตาและรูปร่างงดงามยิ่งกว่าคนโตเสียอีก นางใส่เสื้อผ้าชั้นดีไม่แพ้กัน แต่คนสุดท้องกลับมีหน้าตาธรรมดา แม้นางจะไม่ขี้เหร่ แต่ก็ไม่ถึงกับสวย นางสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแลดูสมถะยิ่ง

     ในตอนแรกลูกสาวทั้ง 3 คน กระตือรือร้นที่อยากจะเห็นใบหน้าของผู้มีพระคุณของบิดา จึงรบเร้าให้บิดาพาฮามันน์เข้ามาหาโดยเร็ว แต่พอฮามันน์ปรากฏตัวต่อหน้าพวกนางเท่านั้นเอง ลูกสาวทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด เผลอแสดงสีหน้าหวาดผวาออกมาอย่างไม่รู้ตัว โดยเฉพาะคนรองถึงกับหวีดร้องออกมาด้วยเสียงอันดังเพราะความกลัว ฮามันน์แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เขากลับรู้สึกแย่ยิ่งกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้เสียอีก

 

คนโต : ท่านพ่อ! ท่านต้องล้อข้าเล่นแน่!! ใครจะกล้าแต่งงานกับมันลง หน้าตาสุดแสนอัปลักษณ์ แถมยังแก่คราวพ่อ มันยังสติดีอยู่หรือเปล่า ทำไมถึงเอาหนังหมีมาคลุมร่างตัวเอง

คนรอง : กรี๊ด! ข้าไม่เอาด้วยนะท่านพ่อ ข้าไม่ยอมแต่งงานกับสัตว์เดรัจฉานเด็ดขาด!! ยี้!! เล็บก็ไม่รู้จักตัด กลิ่นตัวก็สุดจะทานทน ข้าอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว

     พูดจบลูกสาวคนรองก็วิ่งหนีขึ้นห้องนอนอย่างรวดเร็ว โดยมีพี่สาวตามไปอย่างกระชั้นชิด เสียงลงกลอนดังขึ้นทันทีเมื่อประตูถูกปิดลง

     เมื่อฮามันน์ได้ยินดังนั้น หัวใจของเขาก็หนักอึ้งเหมือนจะทะลักล้นออกมาร่วงลงพื้นเสียให้ได้ ตัวของเขาสั่นเทาด้วยความอับอายจนแทบจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่ หน้าของเขาแดงก่ำจนรู้สึกร้อนฉ่าไปหมดด้วยความกระดากกระเดื่อง เขาอยากจะหนีไปให้พ้นเสียจากที่นี่ แต่ขาของเขามันไม่ยอมทำตาม ได้แต่ก้มหน้ารับสภาพ ไม่ต่างจากอาชญากรที่ทำความผิดร้ายแรงกำลังถูกพิพากษาลงโทษ 

     ก่อนที่เขาจะพบกับเจ้าปีศาจ เขาเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการล่าสัตว์มา บาดแผลในครั้งนั้นทำให้เขาเจ็บปวดทรมานอยู่หลายวันจนนึกว่าตัวเองจะไม่รอด เสียแล้ว แต่มันเทียบกับความเจ็บปวดที่หัวใจในครั้งนี้ไม่ได้เลย แม้มันจะไม่มีบาดแผล แต่ร้ายแรงสาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่านัก ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา สำหรับเขามันแย่เหลือทน ให้เป็นแบบนี้ไปอีก 3 ปี มันจะไหวหรือ? มันใกล้ถึงจุดที่จะทำให้ความมุ่งมั่นสู่เป้าหมายของเขาสิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์แล้ว

     แม้แต่พ่อค้าก็ลำบากใจจนทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน เพราะฝ่ายหนึ่งเป็นลูกสาวของเขาเอง ส่วนอีกคนก็เป็นผู้มีบุญคุณ พ่อค้าทำได้เพียงแค่แสดงสีหน้าปลอบใจเขาเท่านั้น แล้วถามลูกสาวคนสุดท้องของตัวเองว่าจะตัดสินใจอย่างไร 

     ฮามันน์อยากจะเอ่ยทัดทานพ่อค้า เพราะเขาเกรงว่าหัวใจของเขาคงรับไม่ไหวอีกแล้ว เขาคงตรอมใจตายอยู่ตรงนี้เป็นแน่ ถ้าลูกสาวคนสุดท้ายของพ่อค้าพูดในทำนองเดียวกันกับเหล่าพี่สาวของนาง แต่ปากของเขารู้สึกด้านชาจนไม่อาจขยับได้ดั่งใจ เพราะส่วนลึกในใจของเขาบอกว่า ตายซะตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้พ้นจากความทุกข์ระทมนี้ไปได้เสียที

     Gisele (กีเซล แปลว่า คำสัญญา) ลูกสาวคนเล็กได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรวมถึงอากัปกริยาทุกอย่างของฮามัน น์ด้วย ถึงแม้นางจะหวาดกลัวเขาไม่แพ้พี่สาวทั้งสอง แต่นางกลับรู้สึกเห็นใจและสงสารฮามันน์ยิ่งกว่า นางจึงพยายามข่มความกลัวทั้งหมดที่มีต่อฮามันน์เอาไว้ แล้วพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า 

กีเซล : ข้า...ข้าจะแต่งงานกับเขา...ท่านพ่อ

พ่อค้า : เจ้าแน่ใจแล้วหรือ? กีเซล!!

กีเซล : ใช่...ข้าจะแต่ง...เพราะเขาช่วยท่านพ่อที่พึ่งรู้จักกันไว้ด้วยทรัพย์สิน ทั้งหมดของเขา จิตใจของเขาช่างงดงามนัก ข้าเชื่อว่าข้าคิดไม่ผิด แล้วจะไม่มีวันเสียใจแน่นอน!

     ดุจดังแสงตะวันสาดส่องเข้ามาในสถานที่อันมืดมิด ฮามันน์ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ตั้งแต่พบกันวันนี้ เขาไม่ได้สนใจมองนางด้วยซ้ำไป เพราะนางดูธรรมดาสามัญเหลือเกิน แต่ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงความงามจากจิตใจของนางแล้ว ส่วนกีเซลก็หารู้ไม่ว่าตนได้ช่วยเหลือชีวิตของฮามันน์เอาไว้ได้ทันท่วงที
 

     ฮามันน์จึงตัดสินใจเล่าความจริงทั้งหมดให้แก่กีเซลและบิดาของนางฟัง แต่พอได้ฟังจนจบ ทั้งคู่กลับทำสีหน้าฝืนยิ้มให้ฮามันน์ตามมารยาท โดยเฉพาะสายตาของกีเซลบ่งบอกถึงความผิดหวังในตัวฮามันน์ นางคงคิดว่าเขาปั้นแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อเอาใจนาง ฮามันน์จึงได้แต่ทำใจยอมรับแววตาคู่นั้นของกีเซล จากนั้นเขาได้หักแหวนแต่งงานของมารดาออกเป็น 2 ซีก แล้วมอบส่วนหนึ่งให้กีเซล พร้อมพูดขึ้นว่า

 

ฮามันน์ : แหวนส่วนนี้แทนการมั่นหมายของเรา ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ายังไม่อาจรักข้าได้ แต่เมื่อใดที่เจ้ารักข้าแล้ว เราจะมาช่วยกันประกบแหวนวงนี้เข้าด้วยกันใหม่อีกครั้ง แล้วค่อยทำพิธีแต่งงานกัน และขอให้เจ้าสบายใจ ข้าจะไม่ทำตัวล่วงเกินรังแกเจ้าก่อนแต่งงานเป็นอันขาด อีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่อยากบังคับเจ้าให้รักข้า ฉะนั้นถ้าเจ้าเจอคนที่คิดว่าดีกว่าข้า ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้าที่จะไปแต่งงานกับเขา ข้าอยากบอกเพียงเท่านี้แหละ

     เมื่อกีเซลและบิดาได้ยินดังนั้นก็เปิดใจยอมรับฮามันน์มากขึ้น กีเซลเก็บแหวนส่วนนั้นเอาไว้อย่างดี ส่วนพ่อค้าอนุญาตให้ฮามันน์พักพิงในบ้านของเขาได้ แต่ฮามันน์ขอนอนในห้องเก็บของหลังบ้านแทน เพราะเขารู้ฐานะของตัวเองดี 

 

     จากวันนั้นเป็นต้นมา ฮามันน์ก็รู้สึกเหมือนได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง เขาใช้ชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง และมีเป้าหมายใหม่นั่นคือการพิชิตใจกีเซล เขาจึงพยายามทำดีทุกอย่างเพื่อให้ตนได้รับการยอมรับจากนางและบิดา เขาออกไปล่าสัตว์และหาของป่ามาขายเพื่อนำเงินมาช่วยลบล้างหนี้ของบิดานาง และจุนเจือค่าใช้จ่ายของครอบครัวนาง เขาขยันขันแข็งมากกว่าที่เคย ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะลืมเรื่องสัญญาของปีศาจไปเลย

     ส่วนกีเซลก็ประทับใจในตัวฮามันน์มากขึ้นตามเวลาที่หมุนไป เพราะฮามันน์ให้เกียรตินางเสมอมา ไม่เคยฉกฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวนางเลยสักครั้ง และนางรู้ว่าเขาพยายามเว้นระยะห่างจากนางมากพอที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้กลิ่นกายของเขารบกวนนาง ยามที่เขากลับมาจากการทำงาน เขาจะมีดอกไม้อันสวยงามมาให้นางตลอด ส่วนนางก็ทำหน้าที่เตรียมอาหารและเครื่องไม้เครื่องมือให้เขายามออกไปล่า สัตว์ ปรนนิบัติดูแลเขายามป่วยไข้ รักษาบาดเเผลของเขายามที่เขาได้รับบาดเจ็บโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ


 

     ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ทั้งคู่ก็ยิ่งใกล้ชิดผูกพันกันมากขึ้นเท่านั้น เมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกว่านางสวยเลย แต่เดี๋ยวนี้เขาสงสัยว่าทำไมนางงดงามมากขึ้นทุกวัน จนเขารู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าและหัวใจเต้นถี่ทุกครั้งที่เห็นนางจ้องมองมา ทางเขา หลายครั้งที่เขาพบว่าร่างกายของตัวเองเกร็งทื่อไม่เป็นธรรมชาติเมื่อได้ใกล้ ชิดนาง บางครั้งเขาถึงกับพูดจาติดอ่างเมื่อได้สนทนากับนาง ก่อนที่จะได้พบกับนาง เขาอยากอยู่เพียงลำพังในป่าเพื่อหลบลี้หนีหน้าผู้คน แต่เดี๋ยวนี้ แค่นอนค้างคืนในป่าวันเดียวก็แทบขาดใจเพราะคิดถึงนาง 

     ส่วนนางก็เริ่มใช้เวลาในการส่องกระจกประทินโฉมของตัวเองนานขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนนางไม่เคยต้องมาห่วงเรื่องการเลือกชุดแต่งกายเลย ทว่าเดี๋ยวนี้นางต้องมาคอยกังวลกับท่าทีของเขายามที่ได้เห็นนางเป็นครั้งแรก ของวันเสมอ ถ้าวันใดที่นางรู้สึกว่าเขาแอบมองนางด้วยความเสน่หา นางจะอารมณ์ดีไปทั้งวัน บางคราวก็เหม่อลอยคิดถึงแต่เรื่องของเขาแล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียว อีกทั้งยังตั้งหน้าตั้งตารอคอยการกลับมาของเขาในแต่ละวันอีกด้วย ถึงตอนนี้นางได้มองข้ามรูปร่างภายนอกของเขาไปเสียแล้ว

     ทั้งนางและบิดาต่างรักใคร่เอ็นดูเขามากขึ้นทุกวัน จะมีก็แต่พี่สาวทั่งคู่ของนางที่ยังคงรังเกียจเดียดฉันท์เขาอยู่ และนินทาว่าร้ายเขาเป็นประจำ แต่ก็ไม่กล้าออกปากไล่เขาไปที่อื่น เพราะเขาช่วยหาเงินใช้หนี้ของบิดาและทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกนางยังสุข สบายต่อไปได้ 

     ช่วงเวลาแห่งความสุขของฮามันน์กับกีเซลผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว เพราะเหลืออีกเพียง 3 วันก็จะครบกำหนดข้อตกลงที่ฮามันน์ได้ทำไว้กับปีศาจแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ได้บังเกิดขึ้น เย็นวันนั้นเองหลังจากที่ฮามันน์กลับมาจากการล่าสัตว์ เขาบังเอิญมองผ่านหน้าต่างไปเห็นสมาชิกในครอบครัวของพ่อค้านั่งพร้อมหน้ากัน ในห้องรับแขก โดยมีชายแปลกหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย ชายคนนั้นค่อนข้างดูดีมีฐานะทีเดียว และเขาสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของกีเซลมีแววอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด เขาเลยรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา จึงแอบฟังการสนทนานั้นอย่างตั้งใจ

ชายแปลกหน้า : ท่านมีความเห็นอย่างไรเรื่องที่ข้าขอลูกสาวคนเล็กของท่านแต่งงาน
พ่อค้า : เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ข้าคงต้องถามความสมัครใจของลูกสาวก่อน กีเซล! เจ้าเห็นว่าอย่างไรล่ะ?

กีเซล : ข้า...เอ่อ...ข้าขอเวลาตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยเถอะ

ชายแปลกหน้า : ตามที่ว่านั้น ท่านหญิง เอาเป็นว่าเย็นวันพรุ่งนี้ข้าจะมาหาใหม่ก็แล้วกันนะ

     กีเซลไม่ตอบอะไร ชายคนนั้นจึงขอลากลับบ้าน ส่วนฮามันน์ได้แต่ทิ้งตัวลงกับพื้นโดยไร้แรงต่อต้าน ข้าวของที่ถือมาหล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น เขานั่งก้มหน้าและหันหลังพิงฝาผนังอยู่ข้างหน้าต่างบานนั้น ร่างกายของเขาไม่อาจรับรู้สิ่งที่อยู่แวดล้อมได้เลย จิตใจของเขามัวแต่พะวักพะวนกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินไป เมื่อชายคนนั้นออกจากบ้านของพ่อค้าไปแล้ว พี่สาวทั้ง 2 ของกีเซลก็ได้ทีพูดขึ้นว่า

คนโต : กีเซล! โอกาสดีแบบนี้หาไม่ได้อีกแล้วนะ เขาคนนั้นดูเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเจ้าหมีสกปรกตัวนั้นอีก ถ้าเจ้าแต่งงานกับเขา ข้ารับรองว่าจะไม่มีใครกล้าดูถูกหรือรังเกียจรังงอนเจ้าแน่

คนรอง : นั่นสิ! กีเซล เจ้ายังไม่ได้แต่งงานกับมันซะหน่อย มันบอกเองมิใช่หรือว่าถ้าเจ้าเจอคนที่ดีกว่า มันจะไม่ห้ามเจ้า อีกอย่าง เขาคนนั้นดูแล้วน่าจะมีฐานะพอดู หากเจ้าแต่งงานกับเขา ชีวิตของเจ้าก็จะสบายขึ้นนะ และครอบครัวของเราก็จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย บิดาของเราจะได้ไม่ต้องทำงานหนักอีกต่อไป

     ยิ่งกีเซลเงียบเฉยไม่เอ่ยอะไร ก็ยิ่งทำให้ฮามันน์กระวนกระวายใจมากขึ้น เขาไม่กล้าแม้จะแอบมองใบหน้าของกีเซลเลย จนในที่สุดเขาก็ทนรับฟังสิ่งที่เหล่าพี่สาวของนางพูดต่อไม่ได้ จึงลุกขึ้นเดินโซเซไปอย่างคนไร้เรี่ยวแรงสู่ห้องเก็บของโดยลืมเก็บอุปกรณ์ ที่ทำหล่นไว้ไปด้วย

     เมื่อฮามันน์มาถึงห้อง เขานั่งก้มหน้าอยู่ในวงแขนของเขาบนโต๊ะ น้ำตาเริ่มไหลมาคลอที่เบ้า เขาเริ่มคร่ำครวญกับตัวเองว่า

     "ทำไมกัน!! อีกแค่ 3 วันเท่านั้นเอง ข้าก็จะได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ไปบอกว่ารอหน่อย อีกไม่กี่วันปีศาจจะทำให้ข้าเป็นเศรษฐี ใครเขาจะเชื่อกัน! ขืนพูดแบบนั้นไป นางมิคิดว่าข้าพยายามเหนี่ยวรั้งนางเอาไว้ด้วยคำโกหกหรือ? แล้วถึงตอนนั้นจะมีใครซักคนไหมที่ช่วยพูดเข้าข้างข้า ในเมื่อสารรูปของข้าเป็นเยี่ยงนี้" 

     คิดได้ดังนั้น เจ้าตัวก็อดที่จะหันหน้าไปทางกระจกไม่ได้ และเมื่อเขาเห็นเงาสะท้อนของตนแล้ว เขาก็เก็บอาการไม่อยู่ เอามือกุมหน้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กทารก

     "หรือว่านี่เป็นชะตาลิขิตของข้า ที่ไม่อาจได้อยู่เคียงคู่นาง"

      ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงของกีเซลขออนุญาตเข้ามา ฮามันน์จึงรีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาของเขาทันที พร้อมกับนั่งหันหลังให้ประตู และอนุญาตให้กีเซลเข้ามาได้

กีเซล : ข้าเห็นเครื่องมือของท่านวางอยู่บนพื้นเลยนำมาให้...ท่านยังสบายดีอยู่หรือเปล่า?

ฮามันน์ : ขอบคุณเจ้ามาก ข้าไม่ได้เป็นอะไร

     น้ำเสียงของฮามันน์สั่นระริก แม้เขาได้พยายามทำให้มันเหมือนปกติแล้ว กีเซลจับสังเกตได้จึงถามต่อไปว่า

กีเซล : ท่านได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วใช่ไหม?

ฮามันน์ : ... !!?

     เขานึกคำพูดใดไม่ออกเลย ได้แต่นั่งนิ่งไม่ไหวติงจนทำให้กีเซลอึดอัดแทน และถามเขาต่อว่า

กีเซล : ท่านเห็นว่าข้าควรทำอย่างไร? แล้วท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง?

     ฮามันน์ยังคงทำเป็นเฉย แต่ภายในใจของเขากลับพรั่งพรูคำพูดออกมามากมาย "ข้ารักเจ้า! และข้าไม่อยากให้เจ้าแต่งงานกับมัน!! เจ้าต้องเป็นของข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น!!!"

     ทว่ามันไม่หลุดออกมาจากปากของเขาเลย กีเซลก้มหน้าลงแต่ดวงตานางยังจับจ้องเขาอยู่ หากฮามันน์หันกลับมามองนางแม้สักนิด ก็จะเห็นสีหน้าอันผิดหวังของนาง สักพักนางจึงกลับไป

ฮามันน์ได้แต่ด่อทอตัวเองอยู่ในใจพร้อมกับทุบโต๊ะเสียงดัง "เจ้าโง่เอ้ย! ทำไมไม่พูดความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกไป ทำไมต้องทำเป็นวางท่าด้วย ไอ้บ้าเอ้ย" 

     คืนนั้นเขาข่มตาหลับไม่ลงเลยทั้งคืน เพราะเอาแต่คิดเรื่องกีเซลจะตัดสินใจแต่งงานกับชายคนนั้นหรือไม่?

     รุ่งเช้าวันต่อมา เขาไม่ยอมออกไปล่าสัตว์เหมือนเคย คอยเก็บตัวอยู่แต่ในห้องเก็บของ เฝ้ารอเวลานัดพบระหว่างกีเซลกับชายแปลกหน้าคนนั้น ทั้งที่ยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เมื่อวาน ในที่สุดผู้ชายคนนั้นก็มาตามนัด เขาเข้าไปนั่งคุยกับครอบครัวของกีเซล และเร่งรัดคำตอบจากนาง

ชายแปลกหน้า : ท่านหญิง เรื่องการแต่งงานระหว่างเราท่านตัดสินใจได้แล้วหรือยัง?

     ซึ่งตอนนั้นฮามันน์ได้แอบรออยู่ข้างผนังก่อนแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น เขาเริ่มจะระงับอารมณ์ส่วนตัวเอาไว้ไม่อยู่ พลางคิดในใจว่า "พอกันที ช่างมันปะไรไอ้สัญญาปีศาจนั่น ข้าไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น ข้าต้องการเพียงแค่กีเซลคนเดียว ข้าจะฆ่ามันซะ และพากีเซลไปกับข้า"

ช่วงเวลานั้นเอง กีเซลก็ตอบชายแปลกหน้าไปว่า

กีเซล : ข้าขออภัยท่านด้วย ที่ทำให้ท่านต้องเสียเวลา เพราะข้าได้รักชายที่ชื่อฮามันน์ไปแล้ว และข้าไม่อาจรักใครได้อีก ข้าแต่งงานกับท่านไม่ได้ ฉะนั้นโปรดยกโทษให้ข้าด้วย

     คำตอบนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคน โดยเฉพาะฮามันน์ เพราะความรู้สึกอันปลาบปลื้มที่สุดในชีวิตของเขาได้พวยพุ่งขึ้นมาเฉกเช่น น้ำพุที่โปรยปรายความสดชื่นให้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขสันต์ มากที่สุดตั้งแต่เกิดมา แต่ใช่ว่าทุกคนจะรู้สึกแบบเขา

ชายแปลกหน้า : นังโง่! ข้ารึอุตส่าห์ถ่อมาหาเจ้าถึงนี่ อยากเล่นตัวนักก็เชิญเลย ข้าไม่ใส่ใจหรอก

     เมื่อต่อว่าเสร็จ ชายคนนั้นก็เดินออกไปแล้วปิดประตูใส่หน้าทุกคนเสียงดังโครม แท้ที่จริงแล้ว ชายแปลกหน้าผู้นี้คือเจ้าปีศาจปลอมตัวมา!

     ก่อนหน้านั้นมันเคยแอบรื่นเริงหรรษาไปกับความทุกข์ระทมของฮามันน์มาโดยตลอด และมั่นใจว่าจะได้ดวงวิญญาณของเขาในท้ายที่สุด แต่พอฮามันน์ได้พบกับกีเซล เสียงหัวเราะสนุกสนานของมันก็เริ่มเลือนหายไป กลับกลายเป็นฝ่ายมันเองที่ต้องขมขื่นระทมจิตแทนฮามันน์ ไม่เพียงแต่เจ้าปีศาจเท่านั้นที่ผิดหวัง พี่สาวทั้ง 2 ของนางก็เช่นกัน

คนโต : นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงกีเซล!? เจ้าจะแต่งกับเจ้าหมีสกปรกตัวนั้นเนี่ยนะ!!

คนรอง : เจ้าเป็นน้องของข้าจริงหรือนี่!? ทำไมถึงได้โง่อย่างนี้!!

     บิดาของนางมิได้เอื้อนเอ่ยอะไรทั้งสิ้น ส่วนกีเซลไม่ใส่ใจคำพูดของเหล่าพี่สาว นางรีบเดินขึ้นไปยังห้องนอนของตนเพื่อรอคอยการกลับมาของฮามันน์

     ส่วนฮามันน์อยากเข้าไปหากีเซลเดี๋ยวนั้นเลย แต่เขาคิดว่าสิ่งที่เขาควรทำตอนนี้คือ ไปทวงสัญญากับเจ้าปีศาจ เพราะเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเท่านั้น ถ้าเดินทางตอนนี้ก็น่าจะถึงที่นัดพบพอดี และจะรีบกลับมาในสภาพที่ดูดีที่สุด เพื่อคู่ควรแก่การขอแต่งงานกับนาง เขาอยากร่ำลานางก่อนไป แต่นางคงไม่เชื่อเรื่องปีศาจอยู่ดี ฉะนั้นรีบไปรีบกลับคงจะดีกว่า คิดได้ดังนี้ ฮามันน์จึงเร่งออกเดินทางโดยทันทีทันใด

     เมื่อถึงเวลาที่ฮามันน์ควรจะกลับมาถึงบ้าน กีเซลก็รีบรุดไปหาเขา เพื่อจะบอกความในใจของนาง ด้วยความปรารถนาว่าเขาจะคิดหวังเช่นเดียวกันกับนาง แต่นางกลับไม่พบตัวเขาไม่ว่าที่ใด กีเซลจึงรอคอยต่อไปจนถึงเที่ยงคืน แต่เขาก็ไม่กลับมา นางจึงตัดสินใจเข้านอน ความคิดของนางเริ่มฟุ้งซ่าน "ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนนะ? หรือว่าจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ ข้าคงคิดมากไปเองกระมัง" จนนางนอนไม่หลับทั้งคืน

     เมื่อฟ้าสางนางก็เฝ้ารอเขาอยู่ที่ห้องเก็บของจนถึงยามเย็นของวันนั้น ใบหน้าของนางหมองคล้ำลงไปอย่างเห็นได้ชัด นางนึกในใจ "เขาจะกลับมาเมื่อไรกัน? มันไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย"

     จนเวลาได้เดินมาถึงตอนเที่ยงคืนอีกครั้ง "หรือว่าเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว หรือเป็นเพราะตอนที่เขาได้ยินเรื่องการแต่งงานของข้า หรือว่าข้าคิดไปเองว่าเขามีใจ ข้าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี"

     คิดแล้วน้ำตาของนางก็เริ่มซึมออกมาเปียกหมอนของตัวเอง "ถ้าท่านไม่กลับมาอีกเลย แล้วข้าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร" ช่างเป็นช่วงเวลาที่มืดมนและอันตรายยิ่งสำหรับความคิดของนาง

     กล่าวถึงฮามันน์ เมื่อเขาเดินทางไปถึงที่นัดพบ เขารีบตะโกนเรียกปีศาจด้วยเสียงอันดังทันทีว่า "เจ้าปีศาจ เจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ข้าได้ทำตามข้อตกลงจนสำเร็จแล้ว รีบมาทำให้ข้าเป็นเศรษฐีเดี๋ยวนี้!!"

     หลังจากนั้น เจ้าปีศาจในชุดสีเขียวก็ปรากฏกายออกมาต่อหน้าเขาด้วยสีหน้าขัดเคืองใจเป็นที่สุด

 

ฮามันน์ : ข้าทำได้แล้วนะเจ้าปีศาจ! ไหนล่ะรางวัลของข้า!!

ปีศาจ : เจ้าหยุดพล่ามแล้วถอดหนังหมีคืนข้าซะ แล้วลองเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเจ้าดูสิ

 

     ฮามันน์รีบทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อเขาถอดหนังหมีออกมาแล้ว เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้ออย่างไม่รอช้า และสัมผัสได้ถึงเหรียญที่อยู่ข้างใน เขาหยิบมันออกมาข้างนอกอย่างรวดเร็ว สีของเหรียญทองที่เปล่งประกายวาววับถูกวางลงบนพื้นเหรียญแล้วเหรียญเล่า น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักที่มันไม่มีทีท่าว่าจะหมดจากกระเป๋าเสื้อของเขาเลย จนกระทั่งเหรียญทองเพิ่มขึ้นเป็นกองพะเนิน 

 

     เมื่อเขาพอใจแล้ว จึงหาถุงมาใส่เหรียญทองทั้งหมดไว้ และร้องขอให้เจ้าปีศาจช่วยตัดผมและเล็บที่ยาวเกินไปของเขาด้วย เพราะกลัวผู้อื่นจะคิดว่าเขาเป็นโจร ปีศาจทำตามคำขอ เขาจึงขอบคุณและลาเจ้าปีศาจไป จากนั้นเขาก็นำเงินไปซื้อรถม้าที่ดีที่สุด เพื่อมาขนเงินทั้งหมดไปฝากไว้ที่ธนาคารในเมือง และตรงดิ่งไปหาบรรดาร้านที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตัวทันที

 

     ย่างเข้าวันที่ 3 จากวันที่ฮามันน์ได้หายตัวไป กีเซลอดตาหลับขับตานอนมาถึง 2 คืน นางกล้ำกลืนฝืนทนเฝ้ารอเขากลับมาด้วยท่าทีอิดโรยเต็มที ดวงตาหมองคล้ำและช้ำเพราะน้ำตา ตอนนี้นางเก็บแหวนแต่งงานครึ่งซีกเอาไว้กับตัว เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจให้มีชีวิตอยู่ต่อไป และรอคอยการกลับมาของเขา ทว่าเหล่าพี่สาวของนางก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้เสียเปล่าเช่นกัน

คนโต : มันไม่กลับมาอีกแล้วล่ะ เจ้าน้องไม่รักดี! ป่านนี้มันคงได้หมีสาวเป็นเมียไปแล้วล่ะมั้ง เป็นอย่างไรล่ะ สาสมใจแล้วหรือยัง?

คนรอง : โฉดเขลานัก! พึงสังวรณ์เอาไว้เลยนะ ขนาดเจ้าเดรัจฉานนั่นมันยังไม่เอาเจ้าเลย มีคนมาสู่ขอดันทำเป็นหยิ่ง หน้าตาอย่างเจ้าอย่าหวังจะมีโอกาสแบบนี้อีกเลย

     การเหยียบย่ำซ้ำเติมได้ผลชะงัด เพราะคราวนี้กีเซลนองไปด้วยน้ำตา นางปล่อยมันออกมาเต็ม 2 มือที่กุมหน้าไว้ เสียงสะอึกสะอื้นฟูมฟายน่าเวทนายิ่งนัก หัวใจของนางเหมือนมีคนเอามือมาบีบเค้นให้แหลกเป็นเสี่ยง ก่อนที่นางจะตรอมใจตายอยู่ที่นั่น บิดาของนางก็เรียกทุกคนเข้าไปหา

บิดา : ลูกสาวของพ่อเอ๋ย มีเศรษฐีหนุ่มรูปงามมาขอเจ้าคนใดคนหนึ่งแต่งงานด้วย ช่วยมาให้เขาดูตัวหน่อย

คนโต : จริงหรือท่านพ่อ! เขาอยู่ที่ไหนล่ะ? ข้าอยากเห็นเหลือเกิน

คนรอง : ไปดูที่หน้าต่างกันเถอะ ท่านพี่! 

 

     ทั้ง 2 พี่น้องตรงรี่เข้าไปถ้ำมองชายคนนั้นผ่านทางหน้าต่างอย่างว่องไว พวกนางแลเห็นผู้ชายคนหนึ่งไว้ทรงผมนำสมัย หน้าตาหล่อเหลาดูมีสง่าราศียิ่งนัก รูปร่างของเขาสูงใหญ่ ไหล่กว้างกำยำ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเลิศเลอเต็มไปด้วยเครื่องประดับราคาแพง ยืนอยู่หน้ารถม้าที่ตกแต่งอย่างอลังการพร้อมกับสารถี ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างพากันมารายล้อมเขาเสมือนดาวล้อมเดือน เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นมา

"ดูเขาสิ! ใช่มนุษย์เดินดินจริงหรือเปล่านั่น หล่ออย่างกับเทพบุตรตกสวรรค์เลย" 

"อุ้ยว้าย! มองมาทางข้าด้วยล่ะ ทำเอาใจของข้าอ่อนระทดระทวยเหลือกำลัง" 

"ถ้าได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองในที่ลับตาคน ข้านี่ถวายตัวให้เลย"

"โอ้ย พวกเจ้าตื่นกันเถอะย่ะ! แต่ก็อย่างว่าแหละ เจอแบบนี้ข้าก็ไม่เล่นตัวล่ะ ตีหัวให้สลบแล้วลากขึ้นบ้านโดยไม่ลังเล"

     ไม่ต่างอะไรกับเหล่าพี่สาวของกีเซลซึ่งหยอกเอินกันไปมาเกี่ยวกับชายคนนั้น เมื่อบิดาบอกให้ทุกคนไปเตรียมตัว ทั้งคู่ก็กุลีกุจอขึ้นห้องไปเปลี่ยนชุดที่สวยที่สุดสำหรับการดูตัวอย่างรวด เร็ว ส่วนกีเซลไม่มีท่าทีตอบสนองอะไรทั้งสิ้น นางเอาแต่กุมแหวนแต่งงานครึ่งซีกของฮามันน์อย่างอาวรณ์ และดูเหมือนนางจะจงใจปล่อยให้ตัวเองดูโทรมอยู่แบบนั้น ซึ่งบิดานางก็ดูเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของนาง จึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ

     เมื่อทุกอย่างพรักพร้อมแล้ว บิดาก็เชิญเขาเข้ามา กีเซลเดินมาเข้าแถวตามมารยาท แต่มิวายทำหน้าไม่รับแขกแล้วหันไปทางอื่น นางอยากให้การดูตัวครั้งนี้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว สร้างความหมั่นไส้ให้แก่เหล่าพี่สาวของนางยิ่งนัก

     เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ทุกคน พี่สาวทั้งสองของนางก็แข่งกันยิ้มเชิญชวนเขาอย่างเต็มที่ แต่เขามิได้ใยดีทั้งคู่เลย เพราะเขารู้ธาตุแท้ของพวกนางมานมนานแล้ว เขาเดินมาหยุดตรงหน้าของกีเซล แล้วพูดว่า "ข้าจะขอแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้"

     สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก ไม่เว้นแม้กระทั่งกีเซล จนนางต้องหันมามองเขา แล้วพบกับใบหน้าของเขาที่แสดงความรู้สึกห่วงหาอาทรในตัวนางอย่างสุดซึ้ง มันดูเศร้าสร้อยและปวดร้าวที่ต้องเห็นคราบน้ำตาของนางอยู่ตรงหน้า

     น่าฉงนใจยิ่งนักที่นางรู้สึกคุ้นเคยกับเขามานาน จนนางอดหวั่นไหวไม่ได้ แต่ก็ยังทำใจแข็งแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงกระด้างว่า "ขอโทษด้วย! ข้ามีคนที่รักแล้ว ข้าแต่งงานกับท่านไม่ได้" แล้วหันหน้าไปทางเดิม

     เขายิ้มอย่างภูมิใจกับคำตอบนั้น พร้อมทั้งหยิบแหวนอีกครึ่งซีกของเขาออกมาแล้วพูดว่า "กีเซล เจ้าจำแหวนซีกนี้ได้หรือเปล่า?"

     เมื่อนางหันกลับมาดู ดวงตาของนางก็ขยายใหญ่ขึ้น นางรีบคว้าแหวนส่วนนั้นมาต่อเข้ากับส่วนของตัวเอง มันเข้ากันได้อย่างพอดิบพอดี นางจึงระลึกถึงข้อตกลงของปีศาจที่เขาเคยเล่าให้ฟัง และเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดได้ทันที เป็นเหตุให้น้ำตาของนางเริ่มไหลรินอีกครั้ง ซึ่งไม่ต่างไปจากของเขา เขาพูดทั้งน้ำตาคลอเบ้าว่า "เจ้ารู้ไหมข้ารอคอยเวลานี้มานานเเค่ไหนแล้ว?"

     นางโผเข้าไปซบหน้าอกของเขาอย่างไม่อายสายตาใคร พร้อมทั้งทุบตีตัวของเขา แล้วพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า "ฮามันน์ ท่านมันบ้า บ้า บ้า บ้าที่สุดเลย รู้ไหมว่าข้ารักท่านมากขนาดไหน คิดถึงท่านเพียงใดจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดีแล้ว ข้าน่ะ...ข้าคิดว่าท่านจะไม่กลับมาอีกแล้ว ข้าเกือบจะตรอมใจเพราะท่า..."

     คำพูดของนางหายไปกลางคัน เพราะปากของนางถูกห้ามไว้ด้วยริมฝีปากของเขา เขารั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมแขน โอบกอดลูบไล้แผ่นหลังของนางอย่างหวงแหนทะนุถนอม นางรับรู้ถึงความโหยหาของเขาผ่านมือที่สัมผัสนาง นางจึงหลับตาลงและกอดแผ่นหลังของเขาตอบ โลกทั้งใบเหมือนจะหยุดหมุน กายของทั้งคู่ผสมกลมกลืนเป็นร่างเดียวกัน จากนั้นทั้งคู่ก็จ้องมองตากันและกัน

ฮามันน์ : ข้ารักเจ้านะ กีเซล

กีเซล : ข้าก็รักท่านเช่นกัน

     แล้วพวกเขาก็สวมกอดกันอีกครั้ง ในขณะที่พี่สาวทั้งสองของนางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างอ่อนแรง พวกนางไม่อยากเชื่อว่าเทพบุตรผู้นี้คือคนเดียวกับเจ้าหมีสกปรกที่พวกนางเคย รังเกียจเดียจฉันท์ พวกนางกระดากอายจนทำตัวไม่ถูก ส่วนบิดามองคู่รักนั้นผ่านน้ำตาแห่งความยินดี
 

     หลังจากนั้นฮามันน์ก็ได้ปลดหนี้ของบิดานางจนหมดสิ้น แล้วเขากับนางก็เข้าพิธีวิวาห์สาบานรักต่อกัน ร่วมใช้ชีวิตกันอย่างผาสุขมาตั้งแต่บัดนั้น

สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/ 

จอมณรงธร (ตี๋)
สมาชิกชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2557-58
กลุ่ม "WLC"

11 มกราคม 2015




1 ความคิดเห็น: