วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556

ลา ภาษาตะวันตก พูดว่าอย่างไร

ข้อมูลโดย Wikipedia
ลา เป็นสัตว์สี่เท้าชนิดกีบเท้าเดียวชนิดหนึ่ง มีขนาดรูปร่างเหมาะสมกับการบรรทุกของหนัก เป็นสัตว์ที่ซื่อสัตย์และภัดีต่อคน อดทนทำงานและเป็นพาหนะให้คน เลี้ยงง่าย ต้องการอาหารน้อย กินหญ้าคุณภาพต่ำได้ เหมาะที่จะเลี้ยงในถิ่นทุรกันดาร แต่คนกลับเห็นว่ามันโง่ (สันดานของคน ใครดีด้วยมักไม่เห็นคุณค่า)  ถูกนำมาเป็นสัตว์เลี้ยง ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มีการนำม้า มาใช้งาน เนื่องจากสามารถผสมข้ามสายพันธุ์ได้ 
 
 ลาป่า (ซ้าย) , ลาบ้าน (ขวา)
ภาษาสเปน                       Asno (อาสโหนะ) , Burro (บู้โหระ)
ภาษาโปรตุเกส                Asno (อนุ) , Burro (บู้โคระ)
ภาษาอิตาลี                      Asino (อาซิโหนะ) , Somaro (โซม้าโหระ)
ภาษาฝรั่งเศส                  Âne (อาน) , Baudet (โบเดะ)
ภาษาเยอรมัน                 Hausesel (เฮาเซเซิล) , Esel (อีเซิล)
ภาษารัสเซีย                    Oсёл (อาโซล) , Oсел (อาเซียล)
ภาษากรีก                        Γάιδαρος (ไกดาโรส), Όνος (โอ้โนส)


ล่อ  เดิมเรียกว่า "ฬ่อ" เป็นสัตว์พันธุ์ผสมระหว่าง ลาตัวผู้และม้าตัวเมีย โดยเมื่อมีการผสมออกมาแล้ว ล่อตัวผู้ทั้งหมดและล่อตัวเมียส่วนใหญ่จะเป็นหมัน สำหรับสัตว์ผสมระหว่างม้าตัวผู้และลาตัวเมีย จะถูกเรียกว่า "ฮินนี" (แต่จะไม่ได้ลักษณะดีของม้าและลามา) ล่อถูกนิยมนำมาใช้ในการเป็นพาหนะสำหรับขนของ โดยขนาดและปริมาณของที่สามารถบรรทุกได้จะขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และน้ำหนักตัว ของล่อเอง คุณสมบัติเด่นคือ มีความอดทน เท้าที่มั่นคง และมีชีวิตยืนยาวกว่าม้า ขณะเดียวกันมีความฉลาด เชื่อง และเดินทางรวดเร็วกว่าลา ล่อตัวเมียสามารถตั้งครรถ์ได้เนื่องจากมีรังไข่แม้ว่าโอกาสจะต่ำก็ตาม

 
ล่อ (ซ้าย) , ฮินนี (ขวา)

Mula (มู้หละ) , Mular (มูลาร์)
 Mula (มู้หละ) , Mulo (มู้ลู)
 Mulo (มู้โหละ) , Bardotto (บารฺด้อตโตะ)
 Mule (มูเหลอะ) , Bardot (บาครฺโด)
 Maultier (เมาลฺเทียร์) , Maulesel (เมาเลเซิล)
Mул (มูล) , Лошак (ลาฉัก)
Μουλάρι (มูล้าหริ) , Ημιόνων (อิมโอ้โนน)


จอมณรงธร (ตี๋)
ประธานชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2555-56
กลุ่ม "รวมบาป"
1 มกราคม 2013 


ลา ที่ตายแล้วเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี คุณควรจะกระโดดข้ามร่างมัน 3 ครั้ง ทำแซนวิชจากขนของมันเพื่อรักษาอาการไอ ขว้างเศษเล็บของมันใส่ศัตรูของคุณ หรือไม่ก็ยัดหัวของมันเข้าไปในเตาอบ นั่นคือพิธีทำนายโชคชะตาด้วยหัวลาอบที่เรียกว่า “ซีฟาเลโอโมแมนซี (cephaleonomancy)” ในปี 1869 มีการเสิร์ฟเนื้อลาเป็นอาหารค่ำบนโต๊ะอาหารของเหล่าคณาจารย์ในวิทยาลัย ซิดนีย์ ซัสเซ้กซ์ ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อาจารย์ท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า รสชาติของมัน “เหมือนกับเนื้อหงส์”
น้ำ นมลาเป็นสารมหัศจรรย์ ชาวบ้านในชนบทของอินเดียเชื่อถือตลอดมาว่ามันเป็นอาหารชนิดหนึ่งสำหรับทารก แต่การวิเคราะห์ส่วนประกอบทางเคมีเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้พบว่า น้ำนมลาอุดมไปด้วยโอลิโกแซคคาไรด์ ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน น้ำนมลายังถูกนำไปทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ป่วยโรคมะเร็ง และบางคนยังอ้างอีกด้วยว่า น้ำนมลาให้ผลเหมือนยาไวอะกร้า

ลาถูกนำมาเลี้ยงเป็นครั้งแรกในประเทศเอธิโอเปียของโซมาเลียเมื่อราว 6,000 ปีก่อน ลาในยุคปัจจุบันเป็นลาสายพันธุ์เดียวกับลาป่าแอฟริกัน (ชื่องทางวิทยาศาสตร์ Equus asinus) พวกมันคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่มีต้นกำเนิดในทวีปแอฟริกา มนุษย์ใช้พวกมันในการขนส่งทางไกลก่อนที่จะมีการใช้ม้า (ซึ่งแต่เดิมถูกเลี้ยงในเอเชียเพื่อกินเนื้อ)
หลุมศพของชาวอียิปต์ โบราณแสดงให้เห็นว่า ลาเปรียบได้กับรถเปอร์เช่แห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ยิ่งคุณมีลามากเท่าไหร่ สถานะทางสังคมของคุณจะยิ่งสูงมากขึ้นไปเท่านั้น การมีฝูงลาในครอบครองนับพันตัวหรือมากกว่านั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เมื่อมีลาก็มีการค้าเกิดขึ้น ความสามรถในการแบกของที่หนักถึงร้อยละ 30 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ปริปากบ่นนี่เองที่ช่วยเปิดโลกยุคโบราณให้กว้างไกล
น่า แปลกใจที่คำว่า donkey (ลา) เป็นคำที่เพิ่งมีมาไม่นานนัก คำนี้ไม่หรากฎให้เห็นในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพระเจ้าเจมส์ ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1611 เป็นไปได้ว่าคำคำนี้อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างคำว่า ass (ลาหรือก้น) กับคำว่า arse (ก้น) ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับออกซฟอร์ด คำว่า donkey อ่านออกเสียงคล้องจองกับคำว่า monkey (ลิง) และเชื่อกันว่ามาจากคำว่า dun ที่หมายถึงสีน้ำตาลหรือสีเทา
ลามี โครโมโซมอยู่ 62 แท่ง (มากกว่ามนุษย์ 16 แท่ง) และสามารถผสมข้ามพันธุ์กับม้าหรือม้าลายก็ได้ ลูกที่เกิดจากการผสมกับม้าจะเรียกว่า “ล่อ” ในภาษาอังกฤษ ลูกที่เกิดจากลาตัวผู้และม้าตัวเมียจะเรียกว่า mule ส่วนลูกที่เกิดจากลาตัวเมียกับม้าตัวผู้จะเรียกว่า hinny ในบรรดาลูกผสมเหล่านี้ มีเพียง 1 ใน 10,000 ตัวเท่านั้นที่สามารถสืบพันธุ์ได้
ลาขึ้นชื่อในเรื่องความทื่อ แต่อันที่จริงแล้ว มันเป็นสัตว์ที่มีสัมผัสไวต่ออันตรายและค่อนข้างมีเหตุผล มันไม่เหมือนม้าที่จะออกวิ่งทันทีที่ถูกกระตุ้น ลาจะยืนนิ่งๆ อยู่กับที่และส่งเสียงร้องออกมาดังๆ แทน อีกทั้งยังเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียว (ที่มีขนาดตัวเท่านี้) ที่ไม่ได้วิ่งหนีเมื่อเผชิญหน้ากับสิงโตในทวีปแอฟริกา มีการใช้ลาไว้ปกป้องวัวควาย สุนัขจะกลัวลาโดยสัญชาตญาณ เพราะมันมีลูกถีบที่แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ
ในปี 1939 มีลาเหลืออยู่ในอังกฤษเพียงร้อยกว่าตัวเท่านั้น ปัจจุบันมีลาอยู่ประมาณ 10,000 ตัว โดย 800 ตัวได้รับอนุญาตให้ทำงานอยู่ตามชายหาดต่างๆ และอีก 75% อาศัยอยู่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์ลา
ลาทุกตัวจะมีเครื่องหมายกากบาทสี เข้มอยู่บนหลังซึ่งคาดกันว่ามีประวัติย้อนกลับไปเมื่อสมัยพระเยซูเสด็จเข้า กรุงเยรูซาเล็ม แต่ก่อนหน้าที่ลาจะมาเกี่ยวข้องกับพระเยซู มันเป็นสัตว์สัญลักษณ์คู่กับเทพราซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของชาว อียิปต์ และ เทพเจ้าแห่งไดโอนีซุส ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งไวน์และการละครของกรีก ซานตาครอสเองก็ขี่ลามาจนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 19
ลาที่ตายแล้วเป็น สัญลักษณ์แห่งความโชคดี คุณควรจะกระโดดข้ามร่างมัน 3 ครั้ง ทำแซนวิชจากขนของมันเพื่อรักษาอาการไอ ขว้างเศษเล็บของมันใส่ศัตรูของคุณ หรือไม่ก็ยัดหัวของมันเข้าไปในเตาอบ นั่นคือพิธีทำนายโชคชะตาด้วยหัวลาอบที่เรียกว่า “ซีฟาเลโอโมแมนซี (cephaleonomancy)” ในปี 1869 มีการเสิร์ฟเนื้อลาเป็นอาหารค่ำบนโต๊ะอาหารของเหล่าคณาจารย์ในวิทยาลัย ซิดนีย์ ซัสเซ้กซ์ ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อาจารย์ท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า รสชาติของมัน “เหมือนกับเนื้อหงส์”
น้ำ นมลาเป็นสารมหัศจรรย์ ชาวบ้านในชนบทของอินเดียเชื่อถือตลอดมาว่ามันเป็นอาหารชนิดหนึ่งสำหรับทารก แต่การวิเคราะห์ส่วนประกอบทางเคมีเมื่อเร็วๆ นี้ทำให้พบว่า น้ำนมลาอุดมไปด้วยโอลิโกแซคคาไรด์ ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน น้ำนมลายังถูกนำไปทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ป่วยโรคมะเร็ง และบางคนยังอ้างอีกด้วยว่า น้ำนมลาให้ผลเหมือนยาไวอะกร้า

ลาถูกนำมาเลี้ยงเป็นครั้งแรกในประเทศเอธิโอเปียของโซมาเลียเมื่อราว 6,000 ปีก่อน ลาในยุคปัจจุบันเป็นลาสายพันธุ์เดียวกับลาป่าแอฟริกัน (ชื่องทางวิทยาศาสตร์ Equus asinus) พวกมันคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดเดียวที่มีต้นกำเนิดในทวีปแอฟริกา มนุษย์ใช้พวกมันในการขนส่งทางไกลก่อนที่จะมีการใช้ม้า (ซึ่งแต่เดิมถูกเลี้ยงในเอเชียเพื่อกินเนื้อ)
หลุมศพของชาวอียิปต์ โบราณแสดงให้เห็นว่า ลาเปรียบได้กับรถเปอร์เช่แห่งสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ยิ่งคุณมีลามากเท่าไหร่ สถานะทางสังคมของคุณจะยิ่งสูงมากขึ้นไปเท่านั้น การมีฝูงลาในครอบครองนับพันตัวหรือมากกว่านั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา เมื่อมีลาก็มีการค้าเกิดขึ้น ความสามรถในการแบกของที่หนักถึงร้อยละ 30 ของน้ำหนักตัวโดยไม่ปริปากบ่นนี่เองที่ช่วยเปิดโลกยุคโบราณให้กว้างไกล
น่า แปลกใจที่คำว่า donkey (ลา) เป็นคำที่เพิ่งมีมาไม่นานนัก คำนี้ไม่หรากฎให้เห็นในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับพระเจ้าเจมส์ ซึ่งเขียนขึ้นในปี 1611 เป็นไปได้ว่าคำคำนี้อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างคำว่า ass (ลาหรือก้น) กับคำว่า arse (ก้น) ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับออกซฟอร์ด คำว่า donkey อ่านออกเสียงคล้องจองกับคำว่า monkey (ลิง) และเชื่อกันว่ามาจากคำว่า dun ที่หมายถึงสีน้ำตาลหรือสีเทา
ลามี โครโมโซมอยู่ 62 แท่ง (มากกว่ามนุษย์ 16 แท่ง) และสามารถผสมข้ามพันธุ์กับม้าหรือม้าลายก็ได้ ลูกที่เกิดจากการผสมกับม้าจะเรียกว่า “ล่อ” ในภาษาอังกฤษ ลูกที่เกิดจากลาตัวผู้และม้าตัวเมียจะเรียกว่า mule ส่วนลูกที่เกิดจากลาตัวเมียกับม้าตัวผู้จะเรียกว่า hinny ในบรรดาลูกผสมเหล่านี้ มีเพียง 1 ใน 10,000 ตัวเท่านั้นที่สามารถสืบพันธุ์ได้
ลาขึ้นชื่อในเรื่องความทื่อ แต่อันที่จริงแล้ว มันเป็นสัตว์ที่มีสัมผัสไวต่ออันตรายและค่อนข้างมีเหตุผล มันไม่เหมือนม้าที่จะออกวิ่งทันทีที่ถูกกระตุ้น ลาจะยืนนิ่งๆ อยู่กับที่และส่งเสียงร้องออกมาดังๆ แทน อีกทั้งยังเป็นสัตว์เพียงชนิดเดียว (ที่มีขนาดตัวเท่านี้) ที่ไม่ได้วิ่งหนีเมื่อเผชิญหน้ากับสิงโตในทวีปแอฟริกา มีการใช้ลาไว้ปกป้องวัวควาย สุนัขจะกลัวลาโดยสัญชาตญาณ เพราะมันมีลูกถีบที่แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ
ในปี 1939 มีลาเหลืออยู่ในอังกฤษเพียงร้อยกว่าตัวเท่านั้น ปัจจุบันมีลาอยู่ประมาณ 10,000 ตัว โดย 800 ตัวได้รับอนุญาตให้ทำงานอยู่ตามชายหาดต่างๆ และอีก 75% อาศัยอยู่ในเขตอนุรักษ์พันธุ์ลา
ลาทุกตัวจะมีเครื่องหมายกากบาทสี เข้มอยู่บนหลังซึ่งคาดกันว่ามีประวัติย้อนกลับไปเมื่อสมัยพระเยซูเสด็จเข้า กรุงเยรูซาเล็ม แต่ก่อนหน้าที่ลาจะมาเกี่ยวข้องกับพระเยซู มันเป็นสัตว์สัญลักษณ์คู่กับเทพราซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ของชาว อียิปต์ และ เทพเจ้าแห่งไดโอนีซุส ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งไวน์และการละครของกรีก ซานตาครอสเองก็ขี่ลามาจนกระทั่งกลางศตวรรษที่ 19
ลาที่ตายแล้วเป็น สัญลักษณ์แห่งความโชคดี คุณควรจะกระโดดข้ามร่างมัน 3 ครั้ง ทำแซนวิชจากขนของมันเพื่อรักษาอาการไอ ขว้างเศษเล็บของมันใส่ศัตรูของคุณ หรือไม่ก็ยัดหัวของมันเข้าไปในเตาอบ นั่นคือพิธีทำนายโชคชะตาด้วยหัวลาอบที่เรียกว่า “ซีฟาเลโอโมแมนซี (cephaleonomancy)” ในปี 1869 มีการเสิร์ฟเนื้อลาเป็นอาหารค่ำบนโต๊ะอาหารของเหล่าคณาจารย์ในวิทยาลัย ซิดนีย์ ซัสเซ้กซ์ ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อาจารย์ท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า รสชาติของมัน “เหมือนกับเนื้อหงส์”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น