วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

Guillotine

ข้อมูลโดย Wikipedia และ mthai.com

Guillotine 
(กิโยตีน)

 

     กิโยตีนคืออุปกรณ์ประหารชีวิตของประเทศฝรั่งเศสด้วยวิธีการตัดคอ ตัวเครื่องทำด้วยไม้ บนสุดแขวนใบมีดรูปสี่เหลี่ยมคางหมู น้ำหนักประมาณ 40 กก. ด้านล่างเป็นส่วนที่ให้ผู้ถูกลงโทษวางศีรษะ เมื่อเจ้าหน้าที่ปล่อยเชือก ใบมีดที่หนักจะหล่นลงมา ด้วยระยะทางประมาณ 2.3 เมตร และตัดคอผู้ถูกประหาร ส่วนสูงและน้ำหนักเป็นไปตามมาตรฐานของประเทศฝรั่งเศส


     สาเหตุที่ต้องทำให้ใบมีดมีลักษณะเฉียง เพราะมันสามารถช่วยตัดคอให้ขาดได้เพียงครั้งเดียว เหมือนการแล่เนื้อ โดย Nicolas Jacques Pelletier (นิโกลา ฌาค์ก แปลตีเยร์) โจรที่ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีนเป็นคนแรกเมื่อวันที่ 25 เมษายน 1792 




      ก่อนการเกิดปฏิวัติฝรั่งเศส นักโทษที่เคยมีชื่อเสียง หรือนักโทษการเมืองจะถูกตัดคอด้วยดาบหรือขวาน ซึ่งในการตัดคอ มีหลายครั้งที่ตัดไม่สำเร็จในดาบแรก ทำให้เกิดความทรมานต่อผู้ถูกประหารชีวิต และทำให้ความเกิดความสะอิดสะเอียนต่อผู้พบเห็น ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปจะถูกแขวนคอ หรือวิธีการประหลาดในช่วงของยุคกลาง เช่น ถูกเผาหรือมัดกับล้อไม้ 

 

      การใช้กิโยตีนจึงทำให้ผู้ถูกประหารชีวิตเจ็บปวดน้อยที่สุด และประหารได้รวดเร็วที่สุด ยิ่งกว่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่า ผู้ที่เสนอแนะให้เปลี่ยนการประหารชีวิตแบบเดิม มาเป็นการตัดคอด้วยกิโยตีนคือผู้ที่ประกอบอาชีพเป็นหมอ! เขาผู้นั้นคือ Dr.Joseph-Ignace Guillotin (โฌแซ็ฟ-อีญัส กียอแต็ง) แพทย์ชาวฝรั่งเศส 



      โดยนาย Antoine Louis (อ็องตวน หลุยส์) สมาชิกของกลุ่ม Académie Chirurgical (อากาเด้มี ชิรูร์ฌิกัล - สถาบันศึกษาการผ่าตัด) เป็นบุคคลที่คิดค้นการทำงานของเครื่องกิโยตีน ซึ่งเครื่องมือประหารชนิดนี้ ตอนแรกใช้ชื่อตามนามสกุลของผู้ประดิษฐ์ว่า Louison (ลุยซง) หรือ Louisette (ลุยแซ็ต) แต่ภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Guillotine "กิโยตีน" ตามนามสกุลของ ดร.กิยอแต็ง แทน ซึ่งภายหลัง ดร.กิยอแต็ง ได้เปลี่ยนนามสกุลใหม่ เนื่องจากไม่ต้องการใช้ชื่อสกุลเป็นคำเดียวกับเครื่องประหารชีวิต 



      เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่ช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส มีผู้ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีนอย่างน้อย 20,000 คน กิโยตีนถือเป็นเครื่องประหารชนิดเดียวที่ถูกกฎหมาย จนกระทั่งยกเลิกกฎหมายประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1871 บุคคลสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิตด้วยกิโยตีนคือ Eugen Weidmann (ออยเก็น ไวด์มันน์) ฆาตกรสังหาร 5 ศพ ชาวเยอรมัน โดยถูกตัดศีรษะเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1939 เวลา 16.32 น. ภายนอกคุก Saint-Pierre (แซ็ง-ปีแยร์) ที่เมือง Versailles (แวร์ซาย)


 


 "The Living Severed Head" 
(หัวที่ถูกตัดแล้วยังมีชีวิต)

      เป็นความเชื่อของหลายคนทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะแค่ประเทศอเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนถูกตัดหัวขาด หัวนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง และเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!!? และมันก็เป็นเรื่องจริงด้วย!! 

 

      เรื่องเริ่มขึ้นในช่วงที่มี Guillotine (กิโยติน) หรือเครื่องมือประหารชีวิตที่นิยมใช้ประหารนักโทษของประเทศฝรั่งเศส เพราะเป็นการประหารที่ทำให้นักโทษตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มาดูอย่างแน่นขนัด และนั่นทำให้พวกเขามีโอกาสได้เห็นหัวที่ยังมีชีวิต 




      โดยเฉพาะสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1793 หญิงนาม Charlotte Corday (ชาร์ล็อตต์ กอร์ดา) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม Jean-Paul Marat (ฌอง โปล มาครา) เธอถูกตัดสินประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดศีรษะของเธอกระเด็นออกไป เจ้าหน้าที่ประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอขึ้นมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมทำสีหน้าไม่พอใจ และพูดคำว่า "ไม่ได้นะ" หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตาหลังถูกตัดคอแล้ว ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่า หัวยังมีชีวิตอยู่แม้ถูกตัดแล้ว


 


      ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณ ยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรอเยอ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองเรื่องนี้ จากฆาตกรชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Languille (ลองกีเยอ) หลังจากที่คอเขาตัดออกมาแล้ว ตาและปากของลองกีเยอ ยังคงขยับต่อไปนาน 6 วินาที และต่อมาเมื่อโบเรอเยอ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษ ก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อ ตาของลองกีเยอลืมขึ้นมาอีกครั้ง และจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที




      แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ Reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือด หรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอกไปมา) ไม่ใช่รู้ตัว แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก

      เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 มีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เมื่อเพื่อน 2 คน นั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก หัวเพื่อนคนหนึ่งกระเด็นออกมา ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์อันน่าสยดสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า "หัวนั้นหันหน้ามามองฉัน" ฉันยังสังเกตว่า ปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องมองฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นขึ้นอีกเลย


     มีเรื่องเล่าลักษณะเดียวกันนี้จากประเทศญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับการประหารนักโทษด้วยการฟันศีรษะให้ขาด ในขณะที่นักโทษคนหนึ่งกำลังถูกเพชรฆาตสังหาร เขาได้ตะโกนด้วยเสียงอันดัง ต่อว่าเจ้าหน้าที่ด้วยถ้อยคำที่แสดงถึงความอาฆาตแค้นว่า "ถ้าเจ้าฆ่าข้า เมื่อข้าตายไป จะกลายเป็นผีมาล้างแค้นเจ้า ครอบครัวของเจ้า และคนที่เจ้ารักทุกคน" เพชรฆาตคนนั้นจึงกล่าวคำท้าทายกลับไปว่า "ถ้าเจ้าทำได้จริง เมื่อศีรษะเจ้าหลุดจากบ่าแล้ว จงงับก้อนหินที่อยู่ใกล้ที่สุดให้ข้าเห็นเป็นขวัญตา แล้วข้าจะเชื่อเจ้า"
      
      นักโทษผู้นั้นรับคำท้า เมื่อคอเขาถูกตัดหลุดจากบ่าแล้ว ศีรษะของเขาก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนขยับปากไปงับหินได้สักพักหนึ่ง แล้วแน่นิ่งไป สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก จนหลายคนกลัวว่าจะถูกวิญญาณของนักโทษคนนั้นมาแก้แค้น แต่เพชรฆาตผู้นั้นกลับกล่าวออกมาว่า "อย่ากังวลไปเลย เพราะก่อนที่เขาจะตาย เราได้หันเหเป้าหมายของเขาไปเรียบร้อยแล้วด้วยการบอกให้งับก้อนหินแทน เมื่อเขาทำสำเร็จ วิญญาณของเขาจึงไปสู่สุขคติ ไม่สามารถกลับมาแก้แค้นพวกเราได้แน่นอน" ก็เป็นจริงตามที่เจ้าหน้าที่ว่าเอาไว้ เพราะหลังจากนั้นไม่ปรากฏว่ามีวิญญาณของผู้ตายออกมาหลอกหลอนผู้คนแต่อย่างใด
 
  
     
     สำหรับประเทศไทยก็มีเรื่องราวในทำนองเดียวกันของบุญเพ็ง ซึ่งเป็นฆาตกรในสมัยรัชกาลที่ 6 บุญเพ็งมีบิดาเป็นชาวจีน ส่วนมารดาเป็นลาว เข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่อายุ 5 ขวบ โดยอาศัยอยู่กับตาชื่อสุก และยายชื่อเพียร เดิมนายบุญเพ็งเป็นภิกษุจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในเมืองนนทบุรี เนื่องจากพระบุญเพ็งเป็นพระที่ลูกศิษย์ส่วนมากเป็นผู้หญิงและร่ำรวย จึงทำให้บุญเพ็งมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงเหล่านี้ ต่อมาเกิดโลภมากในทรัพย์จึงได้ฆ่าสีกาที่เป็นเศรษฐินีไป 7 คน แล้วนำศพยัดใส่หีบเหล็กแล้วถ่วงน้ำทุกครั้ง ผู้คนจึงเรียกเขาว่า "บุญเพ็ง หีบเหล็ก" ต่อมาเขาถูกจับได้และประหารชีวิตในที่สุด เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2462 ศพฝังอยู่ที่ป่าช้า และทำพิธีกรรมทางศาสนาที่วัดภาษี เขตวัฒนา ริมคลองแสนแสบ ปัจจุบัน มีศาลบูชาบุญเพ็ง ซึ่งบุคคลในวัดจะเรียกบุญเพ็งว่า "ลุงบุญเพ็ง" และยังเชื่อว่าหีบเหล็กทั้ง 7 ใบนั้นถูกฝังอยู่ใต้ศาลของบุญเพ็งที่วัด
     
     โดยบุญเพ็งเป็นนักโทษประหารชีวิตคนสุดท้าย ที่ถูกสังหารด้วยการตัดคอ เล่าลือกันว่าในขณะที่เขากำลังถูกประหารชีวิต เขาได้ขยับปากบริกรรมคาถาไปด้วย เมื่อศีรษะเขาถูกตัดขาดร่วงลงสู่พื้น ปากของเขาก็ยังคงขยับท่องคาถาต่อไป สร้างความขนพองสยองเกล้าแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก 

 Rejoignez le groupes de facebook "Le Club des Langues occidentales de Université Ramkhamhaeng" à https://www.facebook.com/groups/365756166805480/

สมัครเข้ากลุ่มเฟส "ชมรมภาษาตะวันตกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง" ได้ที่ https://www.facebook.com/groups/365756166805480/


จอมณรงธร (ตี๋)
กรรมการชมรมภาษาตะวันตก
ปีการศึกษา 2556-57
กลุ่ม "Fanclub FS"

20 มีนาคม 2014





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น